“ข้าก็หวังเช่นนั้น” เขาตอบกลับมา “ดาบนั่นไม่ใช่อาวุธธรรมดา มันถูกเสาะหาโดยเผ่าพันธุ์ของเรามานานนับศตวรรษ เล่ากันว่าเป็นดาบชาวเติร์กที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ทำจากเหล็กกล้าที่สามารถสังหารแวมไพร์ได้ทุกตน หากเรามีดาบนี้ เราก็จะไร้เทียมทาน แต่ถ้าเราไม่มี…”
เขาหยุดพูด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวที่จะเอ่ยออกมา
เคทลินหวังว่าแซมจะอยู่ที่นี่ หวังว่าเขาจะช่วยพาเธอไปหาพ่อ เธอมองดูรอบ ๆ โรงนาอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของเขาเลย เธอไม่น่าทำโทรศัพท์มือถือหาย ถ้ามีโทรศัพท์ ชีวิตของเธอคงจะง่ายกว่านี้
“แซมมักจะมากบดานที่นี่” เธอพูด “ฉันแน่ใจว่าเขาจะอยู่ที่นี่ ฉันรู้เขากลับมาเมืองนี้…ฉันมั่นใจ เขาจะไม่ไปที่อื่น พรุ่งนี้เราจะไปที่โรงเรียน และจะถามจากเพื่อนของฉัน ฉันต้องการคำตอบ”
คาเลปพยักหน้า “เจ้าเชื่อว่าเขาจะรู้ว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?” เขาถาม
“ฉัน…ไม่รู้” เธอตอบ “แต่ฉันรู้ว่าเขารู้เรื่องราวของพ่อมากกว่าฉัน เขาพยายามค้นหามาตลอด ถ้าจะมีใครรู้อะไรสักอย่างก็ต้องเป็นเขา”
เคทลินนึกถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่เคยอยู่กับแซม การค้นหาของเขา เขามักบอกเธอเมื่อพบเบาะแสใหม่ ๆ และมักจะผิดหวังเสมอ คืนนั้นเขาไปที่ห้องของเธอและนั่งลงบนขอบเตียง ความปรารถนาที่ต้องการพบพ่อเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเขา เธอเองก็อยากพบพ่อแต่ไม่มากเท่าเขา บางครั้งความผิดหวังของเขานั้นยากที่จะทำใจให้มองดู
เคทลินนึกย้อนถึงชีวิตวัยเด็กที่ยุ่งเหยิง สิ่งที่พวกเขาพลาดไปทั้งหมด ทันใดนั้นเธอได้ตกสู่ห้วงของอารมณ์ ดวงตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เคทลินรู้สึกเขินอาย เธอจึงใช้มือปาดออกไปอย่างรวดเร็ว และหวังว่าคาเลปจะไม่เห็น
แต่เขาเห็น เขาจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง
คาเลปลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ และนั่งลงข้างเธอ เขาเข้ามาใกล้มากจนเธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานที่รุนแรงของเขา หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
เขาค่อย ๆ ใช้นิ้วปัดเส้นผมของเธอออกจากใบหน้าอย่างนุ่มนวล ลากไปทางหางตา และลงไปที่แก้มของเธอ
เธอก้มหน้าลง จ้องมองไปที่พื้น ไม่กล้าสบตากับเขา เธอรู้เขากำลังมองเธออยู่
“ไม่ต้องกังวล” เขาพูด น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของเขาทำให้เธอสงบลง “เราจะหาพ่อของเจ้า เราจะช่วยกัน”
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอกังวล เธอกำลังกังวลเกี่ยวกับคาเลป กังวลว่าเขาจะจากเธอไป
ถ้าเธอเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้ เธอสงสัยว่าเขาจะจูบเธอหรือเปล่า เธอจินตนาการถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะได้สัมผัสริมฝีปากของเขา
แต่เธอไม่กล้าหันมา
เวลายาวนานเหมือนเป็นชั่วโมงผ่านพ้นไป ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าที่จะหันไป
แต่คาเลปเอนตัวลงนอนบนกองฟางเรียบร้อยแล้ว เขาหลับตาลง รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนอยู่ใบหน้าของเขา ส่องสว่างด้วยแสงจากกองไฟ
เธอขยับเข้าไปใกล้และโน้มตัวลงไป วางหัวของเธอห่างจากไหล่ของเขาไม่กี่นิ้ว ทั้งคู่เกือบจะแนบชิดกัน
และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับเธอ
บทที่สอง
เคทลินเลื่อนประตูโรงนาออก มองออกไปยังโลกที่ปกคลุมด้วยหิมะ แสงแดดสีขาวสะท้อนกับทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก เธอยกมือขึ้นป้องตา ความเจ็บปวดที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน ดวงตาของเธอเจ็บแสบอย่างรุนแรง
คาเลปก้าวเข้ามายืนข้างเธอ เขากำลังพันแขนและคอของเขาด้วยวัตถุบางโปร่งใสที่ดูเหมือนฟิล์มห่ออาหาร วัตถุนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับผิวหนังของเขา และไม่สามารถมองเห็นได้
“นั่นคืออะไร?”
“ที่คลุมผิว” เขาพูด ขณะที่กำลังพันแผ่นฟิล์มรอบแขนและหัวไหล่ของเขาอย่างระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า “มันทำให้เราสามารถออกไปเจอแสงแดดได้ ไม่เช่นนั้นผิวหนังของเราจะไหม้” เขามองมาที่เธอ “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้…ในตอนนี้”
“คุณรู้ได้อย่างไร?” เธอถาม
“เชื่อข้า” เขาพูดพร้อมยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
เขาเอื้อมไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบยาหยอดตาออกมา เขาเงยหน้าขึ้นและบีบสองสามหยดใส่ดวงตาแต่ละข้าง เขาหันมามองที่เธอ
เขาคงเห็นว่าเธอเจ็บตา เพราะเขาค่อย ๆ วางมือลงบนหน้าผากของเธอ “เงยหน้าขึ้น” เขาพูด
เธอเงยหน้าขึ้นไป
“ลืมตา” เขาพูด
เมื่อเธอทำอย่างนั้น เขาเอื้อมมือมาและบีบยาหยอดตาหนึ่งหยดใส่ตาแต่ละข้าง
มันแสบมาก เธอปิดตาและก้มหน้าลง
“โอ้ย” เธอพูด พร้อมขยี้ตา “ถ้าคุณโกรธก็บอกกันดี ๆ สิ”
เขายิ้ม “ขอโทษ ตอนแรกจะรู้สึกแสบ แต่เดี๋ยวเจ้าก็จะชิน ความไวต่อแสงของเจ้าจะหายไปภายในไม่กี่วินาที”
เธอกระพริบตาถี่ ๆ และกลอกตาไปมา ในที่สุดดวงตาของเธอก็รู้สึกดีขึ้น เขาพูดถูก ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปแล้ว
“ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่เดินทางระหว่างวันถ้าไม่จำเป็น พวกเราอ่อนแอมากในช่วงกลางวัน แต่บางครั้ง เราก็ต้องทำ”
เขามองมาที่เธอ
“โรงเรียนของแซม” เขาพูด “ไกลมากไหม?”
“อยู่ใกล้ ๆ เดินไปไม่ไกล” เธอพูด พร้อมคว้าแขนของเขา และเดินนำทางข้ามทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะ “โรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์คือโรงเรียนของฉันเหมือนกัน จนถึงเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หนึ่งในเพื่อนของฉันต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
*
โรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์ยังคงเหมือนเดิม การได้กลับมาเหมือนเป็นความฝัน เธอรู้สึกราวกับว่าเธอเพียงแค่หยุดพักไป และตอนนี้ได้กลับมาสู่ชีวิตที่ปกติ เธอปล่อยให้ตัวของเธอเองเชื่ออย่างนั้นเพียงไม่กี่วินาทีว่าเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ฝันร้าย เธอเพ้อฝันว่าทุกอย่างจะต้องกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เรื่องราวดี ๆ อย่างที่มันเคยเป็น
แต่เมื่อเธอมองเห็นคาเลปยืนอยู่ข้าง ๆ เธอรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นเรื่องปกติ ถ้าจะมีอะไรที่ดูเกินจริงมากกว่าการกลับมาที่นี่ มันคงเป็นการกลับมาพร้อมกับคาเลป เธอกำลังจะเข้าไปในโรงเรียนเก่าพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างกาย เขาสูงหกฟุต ไหล่กว้างหนา แต่งกายในชุดดำ สวมเสื้อคลุมหนังยาวสีดำคอปกตั้งสูง พร้อมผมที่ยาวสลวย เขาดูเหมือนผู้ชายที่เดินออกมาจากปกนิตยสารชื่อดังในหมู่หญิงสาววัยรุ่น
เคทลินกำลังนึกภาพเมื่อเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ เห็นเธออยู่กับคาเลป เธอยิ้มออกมาในขณะที่กำลังคิด เธอไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสนใจเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีใครสนใจ อันที่จริงเธอก็มีเพื่อนที่ดีอยู่บ้าง แต่เธอแทบจะไม่เคยเป็นศูนย์กลางของความสนใจ เคทลินยังจำได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามจากเด็กผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่มักจะรวมกลุ่มกัน เด็กผู้หญิงเหล่านั้นชอบเดินหน้าเชิดลงมาจากห้องโถง ไม่สนใจทุกคนที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าพวกเธอ บางทีตอนนี้พวกเธออาจจะสนใจ
เคทลินและคาเลปเดินขึ้นไปตามขั้นบันได ผ่านประตูบานคู่อันกว้างใหญ่ ก้าวเข้าสู่บริเวณโรงเรียน เคทลินเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาขนาดใหญ่ ขณะนี้เวลา 8:30 น. ชั้นเรียนแรกจะถูกปล่อยออกมา และโถงทางเดินจะเต็มไปด้วยผู้คนในไม่กี่วินาที นั่นจะทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจน้อยลง ที่นี่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัย หรือบัตรผ่านโถงทางเดิน
เสียงระฆังดังขึ้น และภายในไม่กี่วินาที ทางเดินในอาคารก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ข้อดีของโรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์คือมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนมัธยมในนครนิวยอร์กที่ไม่ได้เรื่อง แม้ว่าโถงทางเดินของที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ยังคงมีที่ว่างมากพอสำหรับการขยับตัว บานหน้าต่างขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ตามผนัง แสงแดดภายนอกสาดส่องเข้ามา และสามารถมองเห็นท้องฟ้า ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ มากเพียงพอที่จะทำให้เธอหายคิดถึง
เหลืออีกไม่กี่เดือนที่เธอจะสำเร็จการศึกษา แต่เธอรู้สึกราวกับว่าเธอได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มันคุ้มค่ามากกว่าการใช้เวลาที่เหลือไม่กี่เดือนนั่งเรียนอยู่ในห้องและรับประกาศนียบัตรอย่างเป็นทางการ เธอชื่นชอบการเรียน แต่เธอเพียงแค่มีความสุขที่ไม่ต้องกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
ทั้งคู่เดินลงไปตามโถงทางเดิน เคทลินมองหาใบหน้าที่คุ้นเคย เด็กที่เดินผ่านมาส่วนใหญ่เป็นพวก ม. 4 และ ม. 5 เธอมองไม่เห็นใครในชั้นเรียนของเธอเลย ในขณะที่เดินผ่านไป เธอต้องรู้สึกประหลาดใจที่เห็นปฏิกิริยาบนใบหน้าของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงทุกคนจ้องมองมาที่คาเลป ไม่มีคนไหนพยายามปิดบังหรือแม้แต่ละสายตา มันช่างเหลือเชื่อมาก ราวกับว่าเธอกำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินพร้อมกับ จัสติน บีเบอร์
เคทลินหันไปมอง เด็กผู้หญิงทุกคนหยุดเดินและยังคงจ้องมาที่คาเลป หลายคนกระซิบกระซาบกัน
เธอมองดูคาเลป สงสัยว่าเขารู้ตัวบ้างหรือเปล่า ถ้าเขารู้ เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
“เคทลิน?” เสียงที่ตกใจดังขึ้น
เคทลินหันไป และพบกับ ลุยซา กำลังยืนอยู่ตรงนั้น หนึ่งในเด็กผู้หญิงที่เคยเป็นเพื่อนกับเธอก่อนที่เธอจะย้ายไป
“โอ้วพระเจ้า!” ลุยซาพูดต่ออย่างตื่นเต้น อ้าแขนกว้างพร้อมโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เคทลินจะไหวตัวทัน ลุยซาได้โอบกอดเธอเรียบร้อยแล้ว เคทลินตอบรับอ้อมกอด รู้สึกดีที่ได้พบใบหน้าอันคุ้นเคยอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?” ลุยซาถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เหมือนที่เคยทำเช่นทุกครั้ง สำเนียงสเปนและโปรตุเกสของเธอเป็นเพราะเธอย้ายมาจากเปอร์โตริโกเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น “ฉันงงมาก! ฉันคิดว่าเธอย้ายไปแล้ว!? ฉันส่งข้อความทางโทรศัพท์และแชทไปหาเธอ แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับเลย…”
“ฉันขอโทษ” เคทลินพูด “ฉันทำโทรศัพท์หาย ฉันไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เลย และ…”
ลุยซาไม่ได้ฟังเลย ลุยซาเพิ่งเห็นคาเลป เธอกำลังจ้องมองเขาเหมือนโดนสะกดจิต และอ้าปากค้าง
“เพื่อนของเธอเป็นใครเหรอ?” ในที่สุดเธอก็กระซิบถาม เคทลินยิ้ม เธอไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน
“ลุยซานี่คือคาเลป” เคทลินพูด
“ยินดีที่ได้รู้จัก” คาเลปพูดพร้อมรอยยิ้ม และยื่นมือออกมา
ลุยซายังคงจ้องมองคาเลป เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาช้า ๆ อย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก เธอมองไปที่เคทลิน ไม่เข้าใจว่าเคทลินสามารถควงหนุ่มรูปงามแบบนี้ได้อย่างไร เธอมองเคทลินราวกับไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาก่อน
“เอ่อ…” ลุยซาเริ่มพูด ดวงตาเบิกกว้าง “เอ่อ…คือ…พวกเธอ…เจอกันได้ยังไง?”
เคทลินกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไร เธอคิดที่จะบอกลุยซาทุกอย่าง แต่มันคงไม่ดีแน่ เธอยิ้มตอบ
“เราเจอกัน…หลังจากคอนเสิร์ต” เคทลินพูด
อย่างน้อยมันก็เป็นความจริงบางส่วน
“จิงเหรอ คอนเสิร์ตอะไร? ในเมืองเหรอ? แบล็กอายด์พีส์รึเปล่า?” เธอถามอย่างรวดเร็ว “ฉันอิจฉามากเลย! ฉันอยากไปดูวงนี้มาก!”
เคทลินยิ้มออกมากับความคิดที่ว่าคาเลปอยู่ในงานคอนเสิร์ตร็อก มันเป็นภาพที่เธอนึกไม่ออกเลยจริง ๆ
“เอิ่ม…ก็ไม่เชิงหรอก” เคทลินพูด “ฟังนะลุยซา ขอโทษที่ตัดบท แต่ฉันมีเวลาไม่มาก ฉันต้องการรู้ว่าแซมอยู่ที่ไหน เธอเจอเขาบ้างไหม?”
“แน่นอน ทุกคนเห็นเขา เขากลับมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาดูแปลก ๆ ฉันถามว่าเขาไปไหนมา แต่เขาไม่บอก บางทีเขาน่าจะอยู่ที่โรงนาร้างที่เขาชอบไป”
“เขาไม่อยู่” เคทลินตอบ “เราเพิ่งไปที่นั่นมา”
“งั้นเหรอ? ขอโทษ ฉันไม่รู้ เขาเป็นเด็ก ม. 4 เธอก็รู้ พวกเราไม่ได้เข้าไปวุ่นวายมากนัก เธอลองส่งแชทหาเขารึยัง? เขาออนเฟซบุ๊กอยู่ตลอด”
“ฉันยังไม่มีโทรศัพท์…” เคทลินพูด
“ใช้ของฉันสิ” ลุยซาขัดจังหวะ และก่อนที่เคทลินจะพูดจบ ลุยซายื่นโทรศัพท์มือถือของเธอใส่มือของเคทลิน
“เฟซบุ๊กเปิดอยู่ แค่ลงชื่อเข้าใช้ และส่งข้อความหาเขา”
นั่นสิ เคทลินคิด ทำไมฉันไม่นึกถึงเรื่องนั้นมาก่อน?
เคทลินลงชื่อเข้าสู่ระบบ เธอพิมพ์ชื่อแซมในกล่องค้นหา ประวัติของเขาปรากฏขึ้น เธอคลิกไปที่ข้อความ เธอรู้สึกลังเลว่าจะพิมพ์อะไรลงไป จากนั้นเธอพิมพ์ว่า “แซม นี่ฉันเอง ฉันอยู่ที่โรงนา มาเจอฉันด่วนที่สุด”
เธอคลิกส่งและยื่นโทรศัพท์คืนให้ลุยซา
เคทลินได้ยินเสียงเอะอะ เธอหันไปมอง
กลุ่มของเด็กผู้หญิง ม. 6 ที่มีชื่อเสียงกำลังเดินตรงมาที่โถงทางเดิน พร้อมกับการซุบซิบ และจ้องมองไปที่คาเลป
นี่เป็นครั้งแรกที่เคทลินได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอสามารถมองเห็นความอิจฉาได้จากสายตาของเด็กผู้หญิงเหล่านั้น กลุ่มที่ไม่เคยเหลียวมองเธอเลยสักครั้งคงอยากจะขโมยคาเลปไป เด็กผู้หญิงพวกนี้เกาะแกะผู้ชายไปทั่วในโรงเรียน ผู้ชายคนไหนก็ตามที่พวกเธอต้องการ ไม่สำคัญว่าเขาจะมีแฟนอยู่แล้วหรือไม่ คุณทำได้เพียงแค่ภาวนาว่าพวกเธอจะไม่เหลียวมองมาที่ผู้ชายของคุณ
และตอนนี้พวกเธอทั้งหมดกำลังจ้องมาที่คาเลป
เคทลินหวังว่าคาเลปจะไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพวกเธอ เธอหวังว่าเขาจะยังคงชอบเธออยู่ แต่ยิ่งคิดมากเท่าไร เธอยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องทำอย่างนั้น เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงทั่วไป ทำไมเขาต้องมาอยู่กับเธอในเมื่อเด็กผู้หญิงพวกนี้ปรารถนาในตัวของเขา
เคทลินอ้อนวอนอยู่ในใจ ขอให้เด็กผู้หญิงเหล่านี้เดินผ่านไป เธอขอแค่ครั้งนี้
แต่แน่นอนว่าพวกเธอไม่ทำ หัวใจของเธอเต้นรัวในขณะที่กลุ่มของเด็กผู้หญิงตรงเข้ามา
“สวัสดีเคทลิน” หนึ่งในเด็กผู้หญิงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นมิตร
ทิฟฟานี่ รูปร่างสูง ผมบลอนด์ตรง ดวงตาสีน้ำเงิน และผอมบาง ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนหลุดออกมาจากการออกแบบของดีไซเนอร์ “เพื่อนของเธอเป็นใครเหรอ?”
เคทลินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป ทิฟฟานี่และเพื่อนของเธอไม่เคยเสียเวลากับเธอเลย พวกเธอไม่เคยแม้แต่จะมองเห็นเคทลิน เธอรู้สึกตกใจมากที่เด็กผู้หญิงเหล่านี้รู้จักเธอและชื่อของเธอ ตอนนี้พวกเธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา เคทลินรู้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เด็กผู้หญิงพวกนี้ต้องการรู้เรื่องของคาเลป ต้องการรู้มากจนยอมพูดคุยกับเธออย่างถ่อมตัว
นี่เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
คาเลปคงรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของเคทลิน เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้เธอ และวางแขนข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเธอ
เคทลินไม่เคยรู้สึกยินดีมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ด้วยความมั่นใจใหม่ที่ถูกค้นพบ เคทลินรู้สึกถึงความเข้มแข็งที่จะพูด “คาเลป” เธอตอบกลับไป
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” เด็กผู้หญิงอีกคนถามขึ้น บันนี่เป็นภาพสะท้อนของทิฟฟานี่ เว้นแต่เธอมีผิวสีน้ำตาล “ฉันคิดว่าเธอจากไปแล้ว หรืออะไรทำนองนั้น”
“อืม ฉันกลับมาแล้ว” เคทลินตอบ
“แล้วเธอล่ะมาใหม่เหรอ?” ทิฟฟานี่ถามคาเลป “เธออยู่ ม. 6 เหรอ?”
คาเลปยิ้ม “ใช่ ฉันเพิ่งมาที่นี่” เขาตอบอย่างกำกวม
ดวงตาของทิฟฟานี่ส่องประกาย เมื่อเธอตีความว่านั่นหมายถึงคาเลปยังไม่คุ้นเคยกับโรงเรียน “เยี่ยม” เธอพูด “คืนนี้จะมีปาร์ตี้ที่บ้านของฉัน ถ้าเธออยากมา เชิญเฉพาะเพื่อนสนิทไม่กี่คน แต่เรายินดีที่จะเชิญนายและ…เอ่อ…เธอด้วย” ทิฟฟานี่พูด พร้อมมองมาที่เคทลิน
เคทลินรู้สึกถึงความโกรธที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญนะ” คาเลปตอบ “แต่เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าเคทลินและฉันมีนัดสำคัญแล้วคืนนี้”
เคทลินรู้สึกว่าหัวใจของเธอพองโต
ชัยชนะ
เธอมองดูสีหน้าของพวกเด็กผู้หญิงที่พังทลายลงเหมือนแถวของโดมิโน่ เธอไม่เคยได้สัมผัสถึงชัยชนะอันท่วมท้นแบบนี้มาก่อน
กลุ่มเด็กผู้หญิงเชิดหน้าและเดินหลีกไป
เคทลิน คาเลป และลุยซา ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น เคทลินถอนหายใจออกมา
“สุดยอดเลย!” ลุยซาพูด “พวกผู้หญิงพวกนั้นไม่เคยเสียเวลากับใครมาก่อน หรือแม้แต่เสนอคำเชิญ”
“ฉันรู้” เคทลินพูด เธอยังคงงุนงง
“เคทลิน!” จู่ ๆ ลุยซาก็พูดขึ้น และเอื้อมมือมาคว้าแขนของเธอ “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ซูซานได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแซม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซูซานบอกว่าช่วงนี้เห็นแซมติดพันอยู่กับพวกโคลแมน ฉันขอโทษ ฉันเพิ่งนึกออก บางทีมันอาจจะช่วยได้”
พวกโคลแมน แน่นอน นั่นคือที่ที่เขาจะอยู่
“แล้วก็” ลุยซาพูดต่ออย่างเร่งรีบ “คืนนี้พวกเราทุกคนจะรวมตัวกันที่แฟรงค์ส เธอต้องมานะ พวกเราคิดถึงเธอมาก พาคาเลปมาด้วย มันจะต้องเป็นปาร์ตี้ที่เยี่ยมมาก ๆ เด็กกว่าครึ่งห้องนัดกัน เธอต้องไปที่นั่นนะ”
“เอ่อ…ฉันไม่รู้…”
ระฆังดังขึ้น
“ฉันต้องไปแล้ว ฉันดีใจมากที่เธอกลับมา รักเธอนะ มีอะไรก็โทรมา บ๊ายบาย” ลุยซาพูด พร้อมโบกมือให้เคทลิน และรีบหันหลังเดินลงไปที่โถงทางเดิน
เคทลินปล่อยให้ตัวเธอเองนึกถึงชีวิตปกติ การออกไปสนุกกับเพื่อน ๆ การไปปาร์ตี้ การเรียนอยู่ในโรงเรียนธรรมดา ชีวิตที่กำลังจะจบการศึกษา เธอชอบความรู้สึกนั้น ชั่วครู่หนึ่ง เธอพยายามลบภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาออกจากใจของเธอ เธอบอกตัวเองไม่มีเรื่องร้ายอะไรเคยเกิดขึ้นเลย
แต่เมื่อมองเห็นคาเลป และความจริงก็ถาโถมเข้ามา ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เธอเพียงแค่ต้องยอมรับมัน
การฆ่าใครบางคน ตำรวจที่กำลังตามหาเธอ หรืออีกนานแค่ไหนกว่าที่ตำรวจจะจับเธอได้ที่ไหนสักแห่ง หรือความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดกำลังออกตามหาเธอ หรือดาบที่เธอกำลังค้นหาเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คนมากมาย
ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่มันเคยเป็น และไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เธอเพียงแค่ต้องยอมรับความจริงในตอนนี้ให้ได้
เคทลินวางมือของเธอไปที่แขนของคาเลป และพาเขามุ่งสู่ประตูหน้าโรงเรียน เธอรู้ดีว่าเขาที่ยังคงอยู่ที่นี่ และนั่นดูสมเหตุสมผล แซมอยู่กับพวกโคลแมน ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในโรงเรียน ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่นั่น
เมื่อทั้งคู่เดินออกไปยังประตูหน้า เคทลินสัมผัสกับบรรยากาศที่สดชื่น เธอประหลาดใจที่พบว่าเธอรู้สึกดีกับการเดินออกจากโรงเรียนมัธยมแห่งนี้อีกครั้ง…และครั้งนี้เธอจากไปด้วยดี
*
เคทลินและคาเลปเดินเข้าไปในพื้นที่ของครอบครัวโคลแมน หิมะบนหญ้าแตกละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ตัวบ้านไม่มีอะไรมากนัก ไร่ปศุสัตว์ที่ค่อนข้างเล็กตั้งอยู่ริมถนนของชนบท แต่ด้านหลังเป็นที่ตั้งของโรงนา รถบรรทุกจอดกระจัดกระจายอยู่บนสนามหญ้า เคทลินมองดูรอยเท้าบนน้ำแข็งและหิมะ เธอรู้ได้ว่าต้องมีคนมากมายเดินเข้าออกโรงนาแห่งนี้
นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ๆ ในโอ๊กวิลล์ พวกเขามักจะมาพบปะกันในโรงนา โอ๊กวิลล์เป็นพื้นที่ชนบทของชานเมือง ทำให้พวกเขามีโอกาสรวมตัวกันในสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านเพียงพอ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่รู้และไม่สนใจว่าลูกของพวกเขากำลังทำอะไร มันดีกว่าการไปสุมหัวกันในชั้นใต้ดิน ที่นี่พ่อแม่ของคุณจะไม่ได้ยินอะไร และคุณจะมีทางเข้าออกเป็นของตัวเอง
เคทลินสูดหายใจลึก เธอเดินขึ้นไปยังโรงนาและเลื่อนบานประตูไม้ออก
สิ่งแรกที่เธอพบคือกลิ่นกัญชา และกลุ่มควันที่ลอยอยู่ในอากาศ
ผสมกับกลิ่นของเบียร์เก่าที่รุนแรงมาก
จากนั้นสิ่งที่เธอรับรู้มากกว่าทุกสิ่ง มันคือกลิ่นของสัตว์ เธอไม่เคยมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเช่นนี้มาก่อน เธอตกใจที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีสัตว์อยู่ที่นี่เพียงแค่ได้กลิ่น ราวกับว่าเธอกำลังดมแอมโมเนีย
เธอหันไปทางขวาและมองเข้าไป ตรงมุมห้องมีร็อตไวเลอร์ตัวใหญ่ มันลุกขึ้นอย่างช้า ๆ มองมาที่เธอและเริ่มส่งเสียงขู่คำรามอยู่ในลำคอ เธอจำมันได้แล้ว มันคือบุช ร็อตไวเลอร์ที่ดุร้ายของพวกโคลแมน ราวกับว่าโคลแมนต้องการเพิ่มสัตว์ที่ดุร้ายให้กับภาพลักษณ์ของพวกเขา
พวกโคลแมนมักจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ พี่น้องผู้ชายสามคนอายุ 17 15 และ 13 ปี อะไรบางอย่างทำให้แซมกลายเป็นเพื่อนกับเด็กคนกลาง เขาชื่อเกบ นิสัยแย่ที่สุดในบรรดาพี่น้อง พ่อของพวกเขาจากไปนานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน และแม่ของพวกเขาไม่เคยเหลียวดู อันที่จริงพวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุเพียงแค่นี้ พวกเขามักจะเมา และอยู่นอกโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่
เคทลินรู้สึกหัวเสียที่แซมมาสุงสิงกับพวกเขา มันไม่เคยมีเรื่องอะไรดี ๆ เลย
ในโรงนากำลังเปิดเพลงของ พิงก์ พลอยด์ เสียงเพลงดังลอยมา Wish You Were Here
การค้นหา เคทลินคิด
ที่นี่มืดมาก เมื่อเทียบกับความสว่างภายนอก เธอต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อให้ดวงตาของเธอปรับภาพได้อย่างชัดเจน
เขาอยู่ที่นั่นเอง แซมกำลังนั่งอยู่ตรงกลางบนโซฟาตัวเก่า ล้อมรอบด้วยเด็กผู้ชายนับสิบคน เกบนั่งอยู่ข้างหนึ่งและบร็อคนั่งอยู่อีกข้าง
แซมก้มตัวดูดบ้องกัญชา เขาเพิ่งสูดมันเข้าไป เขาวางลงและเอนหลังพิง ดูดอากาศเข้าไปและกลั้นเอาไว้นานมาก จนในที่สุดเขาก็พ่นควันออกมา
เกบสะกิดเขา แซมเงยหน้าขึ้นมอง เขาจ้องมองมาที่เคทลินท่ามกลางหมอกควันสีขาว ดวงตาของเขาแดงก่ำ
เคทลินรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในท้อง ความรู้สึกของเธอตอนนี้เกินกว่าความผิดหวัง เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เธอนึกถึงครั้งสุดท้ายที่อยู่กับแซมในนิวยอร์ก การทะเลาะกัน เธอทำร้ายจิตใจของแซม คำพูดที่เธอตะโกนออกไป “ก็ไปสิ!” ทำไมเธอถึงเกรี้ยวกราดกับเขา? ทำไมเธอไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัว?