เขากะเวลาได้เหมาะเหม็ง กองทหารไม่มีเวลาตอบโต้ พวกนั้นเห็นมันในวินาทีสุดท้ายและพยายามจะหยุดม้า แต่พวกนั้นมาเร็วเกินไปและไม่มีเวลาพอ
พวกแนวหน้าพุ่งเข้าใส่กับดัก โซ่หนามขึงขวางขาม้าทุกตัว ทำให้คนขี่หน้าทิ่มกระแทกพื้น โดยมีม้าล้มทับซ้ำอีก หลายสิบคนล้มทับกันชุลมุน
อีเร็คไม่มีเวลาภูมิใจในผลงานความเสียหายที่เขาได้ทำ ทหารอีกชุดหันมาและพุ่งมาหาเขาพลางโห่ร้องข่มขวัญ อีเร็คม้วนตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
ขณะที่อัศวินคนหัวหน้ายกหลาวขึ้น อีเร็คอาศัยข้อได้เปรียบที่มี เขาไม่มีม้าและไม่สามารถเผชิญหน้าที่ความสูงระดับเดียวกันได้ แต่เพราะเขาอยู่ต่ำ เขาจึงสามารถใช้พื้นดินเบื้องล่าง อีเร็คพุ่งลงไปที่พื้นทันที ม้วนตัวแล้วยกดาบขึ้นฟันขาม้าตัวหนึ่ง มันสะดุด ทำให้ทหารที่ขี่หน้าทิ่มลงมาก่อนที่จะมีโอกาสปล่อยอาวุธ
อีเร็คยังกลิ้งต่อไป และสามารถหลบเท้าม้าที่กำลังตื่นตกใจรอบ ๆ ตัวเขาได้ พวกมันพยายามจะวิ่งหลบม้าที่ล้มอยู่ แต่หลายตัวทำไม่สำเร็จ สะดุดม้าที่นอนตาย ทำให้มีม้าล้มฟาดลงบนพื้นมากขึ้นหลายสิบตัว เกิดฝุ่นตลบฟุ้งและทำให้เกิดแนวกั้นกองทหารไว้
เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่อีเร็คหวังไว้ เกิดฝุ่นตลบและความชุลวุน มีม้าล้มลงบนพื้นเพิ่มอีกหลายสิบตัว
อีเร็คกระโดดลุกขึ้นยืน ยกดาบขึ้นรับดาบที่ฟาดใส่ศีรษะ เขาหมุนตัวและรับหลาว ก่อนที่จะกั้นทวนและขวานไว้ได้ เขาป้องกันอาวุธที่ฟาดฟันใส่เขาจากทุกด้าน แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือได้ตลอดไป เขาจะต้องเป็นฝ่ายโจมตีหากอยากจะมีโอกาส
อีเร็คม้วนตัวแล้วคุกเข่า เขาพุ่งดาบออกไปเหมือนกับหอก มันแหวกอากาศไปปักอกศัตรูคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ตามันเบิกโพลง เอียงตกจากหลังม้าลงไปนอนตาย
อีเร็คอาศัยจังหวะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและกระชากกระบองมาจากมือของมันก่อนที่จะขาดใจตาย มันเป็นกระบองที่ดี อีเร็คเลือกทหารคนนี้ด้วยเหตุนี้ กระบองเงินด้ามยาวมีโซ่ยาวสี่ฟุตและลูกตุ้มหนามสามลูก เขาเหวี่ยงมันขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดอาวุธหลุดจากมือศัตรูอีกหลายคนพร้อมกัน จากนั้นจึงฟาดอีกครั้งส่งศัตรูหล่นจากหลังม้า
อีเร็คมองสำรวจสนามรบและเห็นว่าเขาได้สร้างความเสียหายไปมากทีเดียว อัศวินเกือบร้อยคนล้มไปแล้ว แต่ที่เหลืออีกอย่างน้อยสองร้อยคนกำลังรวมกลุ่มกันและพุ่งมาหาเขาแล้วในตอนนี้ด้วยความมุ่งมาด
อีเร็คขี่ม้าเข้าหา คนเดียววิ่งเข้าใส่ศัตรูสองร้อยคน เขาส่งเสียงร้องข่มขวัญ ชูกระบองขึ้นสูงยิ่งขึ้น และภาวนาต่อพระเจ้าขอให้เขาไม่หมดแรง
*
อลิสแตร์ร้องไห้ขณะที่เกาะวาร์คฟินไว้แน่นสุดกำลัง มันควบตะบึงพานางไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคยดีมากเหลือเกิน กลับไปยังซาวาเรีย นางกรีดร้องและเตะมันไปตลอดทาง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มันหันหลังกลับไปหาอีเร็ค แต่มันไม่ยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ไม่เคยพบม้าเช่นนี้มาก่อน มันเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ลังเลและจะไม่เปลี่ยนใจ เห็นได้ชัดว่ามันจะพานางไปยังสถานที่ที่อีเร็คสั่งเท่านั้น ในที่สุดนางก็ยอมรับความจริงว่าไม่สามารถทำอะไรได้
อลิสแตร์มีความรู้สึกผสมปนเปกัน ขณะที่นางขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไป เมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่นานในฐานะสาวใช้รับจ้าง ในมุมหนึ่งมันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คิดถึงเจ้าของโรงแรมผู้กดขี่ข่มเหงนาง คิดถึงเรื่องเลวร้ายทุกอย่างของที่นี่ นางหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไป ได้ออกไปจากเมืองนี้กับอีเร็ค และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา ขณะที่นางปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกกังวลถึงอีเร็คที่อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับทั้งกองทัพ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจ
เมื่ออลิสแตร์ตระหนักว่าวาร์คฟินจะไม่หันหลังกลับ นางรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่นางจะทำได้ต่อไปคือหาทางช่วยอีเร็ค เขาขอให้นางอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงเมืองที่ปลอดภัย แต่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำ ถึงอย่างไรนางก็เป็นธิดาของราชา และนางไม่ใช่คนที่จะวิ่งหนีจากความกลัวหรือการเผชิญหน้า อีเร็คได้พบคู่ครองที่เหมาะสมในตัวนาง นางเองก็มีชาติตระกูลและมีความแน่วแน่เช่นเดียวกับเขา และนางคงไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อีกหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างนอกนั่น
อลิสแตร์รู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี นางบังคับวาร์คฟินไปที่ปราสาทของท่านดยุค ขณะนี้เมื่อทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้ว วาร์คฟินจึงยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ขี่มันไปที่ทางเข้าปราสาท แล้วลงจากหลังม้า แล้ววิ่งผ่านมหาดเล็กที่พยายามจะห้ามนาง นางผลักอาวุธของพวกเขาแล้ววิ่งเร็วจี๋ไปตามทางเดินหินอ่อนที่นางคุ้นเคยดีสมัยเป็นสาวใช้
อลิสแตร์ใช้ไหล่ดันประตูบานใหญ่ของท้องพระโรง กระแทกมันให้เปิดออก แล้วถลันเข้าไปในท้องพระโรงส่วนตัวของท่านดยุค
สมาชิกสภาหลายคนหันมามองดูนาง ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมเต็มยศ มีท่านดยุคนั่งอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยอัศวินหลายคน พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางเข้าไปขัดจังหวะการประชุมสำคัญบางอย่าง
“เจ้าเป็นใครกัน แม่หญิง?” คนหนึ่งตะโกนถามขึ้น
“ใครกันที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะการว่าราชการของท่านดยุค?” อีกคนตะโกนบ้าง
“ข้ารู้จักนาง” ท่านดยุคบอก พลางลุกขึ้นยืน
“ข้าด้วย” แบรนด์ทเอ่ย อลิสแตร์จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของอีเร็ค “เจ้าคืออลิสแตร์ ใช่ไหม?” เขาถาม “เจ้าสาวหมาด ๆ ของอีเร็คใช่ไหม?”
นางวิ่งไปหาเขา น้ำตานอง แล้วคว้ามือเขาไว้
“ได้โปรด ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย อีเร็ค!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านดยุคถามด้วยความตกใจ
“เขากำลังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูเพียงลำพัง เขาไม่ยอมให้ข้าอยู่ด้วย ได้โปรด! เขาต้องการความช่วยเหลือ!”
อัศวินทุกคนต่างผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ได้เอ่ยสักคำ แล้วต่างวิ่งกรูกันออกไปจากท้องพระโรง โดยไม่มีผู้ใดลังเลเลย อลิสแตร์หันหลังแล้ววิ่งตามพวกเขาไป
“อยู่ที่นี่!” แบรนด์ทสั่ง
“ไม่มีทาง!” นางบอก พลางวิ่งตามหลังเขาไป “ข้าจะพาท่านไปหาเขา!”
พวกเขาวิ่งไปตามทางเดิน ออกจากปราสาทและตรงไปหาม้าฝูงใหญ่ที่กำลังรออยู่ แล้วต่างขึ้นม้าของตัวเองโดยไม่ลังเลเลย อลิสแตร์กระโดดขึ้นหลังวาร์คฟิน แล้วเตะมัน ให้นำคณะไป ด้วยความกระวนกระวายเช่นเดียวกับคนอื่น
ขณะที่ทุกคนควบผ่านเขตปราสาทของท่านดยุค ทหารที่อยู่โดยรอบเริ่มขึ้นหลังม้าและร่วมขบวนไปด้วย เมื่อทุกคนผ่านประตูเมืองซาวาเรียออกไป ก็เป็นกองกำลังที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน โดยมีอลิสแตร์ขี่ม้านำด้านหน้า ขนาบข้างด้วยแบรนด์ทและท่านดยุค
“หากอีเร็ครู้ว่าเจ้ามากับพวกเราด้วย ข้าหัวขาดแน่” แบรนด์ทบอก ขณะที่ขี่ม้าไปข้างนาง “ได้โปรด บอกเรามาว่าเขาอยู่ที่ไหนก็พอ แม่หญิง”
แต่อลิสแตร์ส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง กลั้นน้ำตาขณะที่ควบไปเร็วขึ้น ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากเหล่าทหารรอบตัวนาง
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะทอดทิ้งอีเร็ค!”
บทที่ สาม
ธอร์ขี่ม้าไปตามทางในป่าด้วยความระแวดระวัง เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น และคู่แฝดขี่ม้าตามไปข้างเขา โครห์นวิ่งตามมาด้านล่าง เมื่อทุกคนโผล่พ้นแนวป่าที่ฟากไกลสุดของหุบเขาใหญ่ หัวใจธอร์เต้นเร็วขึ้นด้วยความคาดหวัง เมื่อในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายป่าทึบ เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนอื่นเงียบเสียง ทุกคนต่างหยุดนิ่งข้างเขา
ธอร์มองออกไปและสำรวจชายหาดที่ทอดแผ่กว้างไป ท้องฟ้าโล่งกว้าง และไกลกว่านั้นคือทะเลสีเหลืองแผ่ไพศาลที่จะนำพวกเขาไปยังดินแดนห่างไกลของจักรวรรดิ ทะเลทาร์ทูเวียน ธอร์ไม่ได้เห็นผืนน้ำของมันมาตั้งแต่การเดินทางไปฝึกร้อยวัน มันรู้สึกประหลาดที่ได้กลับมาที่นี่อีก และครั้งนี้ ด้วยภารกิจที่กุมชะตาของอาณาจักรวงแหวนไว้
หลังจากที่พวกเขาข้ามสะพานข้ามหุบเขาใหญ่มา การขี่ม้าผ่านป่าระยะสั้น ๆ ในแดนเถื่อนก็เป็นไปอย่างราบรื่น คอล์คและบรอมบอกให้ธอร์มองหาเรือลำเล็กที่ผูกไว้ที่ชายหาดของทะเลทาร์ทูเวียน มันถูกแอบซ่อนไว้ใต้ร่มเงากิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่ชะโงกอยู่เหนือทะเล ธอร์มาตามที่บอกไว้ทุกประการ และเมื่อมาถึงชายป่า เขาก็สังเกตเห็นเรือ ถูกซ่อนไว้อย่างดี พร้อมที่จะพาพวกเขาไปยังที่ที่ต้องไป ธอร์รู้สึกโล่งอก
แต่แล้วเขาก็เห็นทหารลาดตระเวนของจักรวรรดิหกคน ยืนอยู่บนหาดทรายตรงหน้าเรือ กำลังสำรวจดูมัน ทหารคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเรือที่เกยอยู่บนชายหาด เรือโยกไกวตามจังหวะคลื่นซัดเบา ๆ ไม่ควรจะมีใครที่นี่
โชคร้ายช่างกระหน่ำซ้ำเติม ขณะที่ธอร์มองออกไปไกลยังขอบฟ้า เขาเห็นเป็นเงาร่างอยู่ไกล ๆ ของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกองเรือทั้งหมดของจักรวรรดิ เรือสีดำนับพันลำ มีธงสีดำของจักรวรรดิ โชคดีที่กองเรือไม่ได้แล่นมาหาธอร์ แต่กำลังมุ่งหน้าไปอีกทาง ใช้เส้นทางโค้งอ้อมรอบอาณาจักรวงแหวน ไปยังฝั่งของแม็คคลาวด์ ซึ่งพวกนั้นได้ฝ่าข้ามหุบเขาใหญ่ไปแล้ว โชคดีที่กองเรือของจักรวรรดิกำลังวุ่นวายอยู่อีกเส้นทาง
ยกเว้นพลลาดตระเวนหน่วยนี้ ทหารทั้งหกคนอาจจะเป็นหน่วยสอดแนมที่ออกปฏิบัติภารกิจ และอาจจะเดินมาเจอเรือของกองทหารยุวชนเข้า จังหวะไม่ดีเอาเสียเลย หากธอร์และคนอื่น ๆ มาถึงเรือก่อนหน้านี้สักไม่กี่นาที พวกเขาอาจจะได้ขึ้นเรือและแล่นออกจากฝั่งไปแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับต้องมาเผชิญหน้า ไม่มีทางที่จะหลบไปได้
ธอร์กวาดตามองไปตามชายหาด ไม่เห็นว่ามีกองทหารอื่นอีก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ได้เปรียบ น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนที่มาลำพัง
“ข้าคิดว่าเรือควรจะถูกซ่อนไว้อย่างดี” โอคอนเนอร์เอ่ย
“เห็นชัดว่ายังไม่ดีพอ” เอลเด็นตั้งข้อสังเกต
พวกเขาทั้งหกคนนั่งอยู่บนหลังม้า มองดูเรือลำนั้นและกลุ่มทหาร
“คงจะไม่นานก่อนที่พวกเขาจะเตือนทหารจักรวรรดิหน่วยอื่น ๆ” คอนเวนออกความเห็น
“และจากนั้น เราจะต้องเจอศึกหนัก” คอนวอลกล่าวเสริม
ธอร์รู้ว่าพวกเขาพูดถูก และพวกเขาไม่อย่างเสี่ยงในเรื่องนี้
“โอคอนเนอร์” ธอร์บอก “เจ้ายิงแม่นที่สุดในบรรดาพวกเรา ข้าเคยเห็นเจ้ายิงจากระยะห้าสิบหลา เห็นคนที่ถือคันธนูไหม? เรามีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าทำได้ไหม?”
โอคอนเนอร์พยักหน้าแข็งขัน สายตาจับจ้องอยู่ที่กลุ่มทหารจักรวรรดิ เขาเอื้อมมือข้ามไหล่ไปอย่างระวัง ยกคันธนูขึ้นมา แล้วประทับลูกธนู ง้างสายเตรียมพร้อม
ทุกคนต่างมองมาที่ธอร์ และเขารู้สึกพร้อมที่จะนำ
“โอคอนเนอร์ ยิงเมื่อข้าให้สัญญาณนะ แล้วพวกเราจะเข้าโจมตีคนอื่น ๆ ด้านล่าง ทุกคน ใช้อาวุธขว้างของพวกเจ้าเมื่อเราเข้าไปใกล้ พยายามเข้าไปใกล้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนโจมตี”
ธอร์ส่งสัญญาณมือ แล้วโอคอนเนอร์ก็ยิงออกไปทันที
ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศไปพร้อมเสียงหวือ มันเข้าเป้าอย่างจัง หัวโลหะของลูกธนูเสียบทะลุหัวใจของทหารจักรวรรดิคนที่ถือคันธนู มันยืนอยู่ตรงนั้น ตาเบิกโพลงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนจะกางแขนออกกว้าง หน้าทิ่ม พุ่งหลาวลงมากระแทกชายหาดยู่แทบเท้าเพื่อนทหาร โลหิตไหลนองพื้นทราย
ธอร์และเพื่อน ๆ บุกเข้าไปพร้อมกัน ราวกับเครื่องจักรที่หยอดน้ำมันอย่างดี เสียงฝีเท้าม้าเปิดเผยตัวพวกเขา ทหารอีกหกคนหันมาหา พวกมันกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วควบเข้ามา เตรียมพร้อมที่จะปะทะกันตรงกลาง
ธอร์และเพื่อน ๆ ยังคงได้เปรียบจากความประหลาดใจ เขาง้างแล้วยิงลูกหินออกไปโดนขมับพวกมันคนหนึ่งจากระยะยี่สิบหลา ขณะกำลังจะขึ้นหลังม้า มันหล่นลงมานอนตาย โดยมือยังกุมสายบังเหียนอยู่
เมื่อทุกคนเข้าไปใกล้ เจ้าชายรีซทรงขว้างพระแสงขวานของพระองค์ เอลเด็นขว้างหอก ส่วนคู่แฝดขว้างมีดสั้นของพวกเขา หาดทรายที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ม้าลื่น การใช้อาวุธขว้างจึงยากกว่าปกติ พระแสงขวานของเจ้าชายรีซเข้าเป้า สังหารทหารจักรวรรดิคนหนึ่ง แต่อาวุธของคนอื่น ๆ พลาดเป้า
ทหารจักรวรรดิเหลือสี่คน คนหัวหน้าแยกออกจากกลุ่ม พุ่งเข้าใส่เจ้าชายรีซ ผู้ทรงไร้อาวุธ พระองค์ทรงขว้างขวานออกไป แต่ยังไม่ทันมีเวลาหยิบพระแสงดาบ เจ้าชายทรงเตรียมระวังพระองค์ และในวินาทีสุดท้าย โครห์นกระโจนไปข้างหน้า กัดขาม้าของทหารคนนั้น จนม้าล้มลง ทหารที่ขี่มันร่วงลงมาด้วย สามารถช่วยเจ้าชายรีซไว้ได้ในจังหวะสุดท้าย
เจ้าชายรีซทรงชักพระแสงดาบแล้วแทงศัตรู สังหารมันได้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
พวกมันเหลือสามคนแล้ว คนหนึ่งเข้ามาหาเอลเด็นพร้อมด้วยขวาน มันเหวี่ยงมาโดยหมายหัวของเอลเด็น ซึ่งเขากันไว้ได้ด้วยโล่ และเหวี่ยงดาบฟันด้ามขวานขาดสองท่อนในจังหวะเดียวกัน จากนั้นเอลเด็นจึงใช้โล่ฟาดเข้าที่ศีรษะของศัตรู กระแทกมันหล่นจากหลังม้า
ทหารจักรวรรดิอีกคนหยิบกระบองออกมาจากเอว แล้วเหวี่ยงสายโซ่ยาว ฟาดลูกตุ้มหนามเข้าใส่โอคอนเนอร์ทันที มันเกิดขึ้นเร็วมากจนโอคอนเนอร์ไม่มีเวลาตอบโต้
ธอร์เห็นเหตุการณ์ เขาพุ่งเข้าไปทางด้านข้างของเพื่อน ยกดาบขึ้นแล้วฟันสายโซ่ขาดจากกระบอง ก่อนที่มันจะฟาดโอคอนเนอร์ มีเสียงดาบตัดผ่านเหล็ก ธอร์รู้สึกพิศวงกับความคมของดาบเล่มใหม่ของเขา ลูกตุ้มหนามหล่นลงไปบนพื้น แล้วฝังตัวอยู่ในทรายอย่างไร้พิษสง โอคอนเนอร์รอดชีวิต ขณะนั้นคอนวอลขี่ม้าขึ้นไปและใช้หอกแทงทหารคนหนึ่ง สังหารมันได้อีกคน
ทหารจักรวรรดิคนสุดท้ายเห็นแล้วว่ามันเสียเปรียบกำลังคนอย่างมาก เกิดความหวาดกลัวในดวงตา มันหันหลังแล้วควบม้าหนีไปตามชายหาดทันที รอยกีบเท้าม้าของมันประทับลึกในพื้นทราย
ทุกคนจับจ้องที่ศัตรูที่ถอยหนี ธอร์ใช้หนังสติ๊กยิงลูกหิน โอคอนเนอร์ยกคันธนูขึ้นมาแล้วยิงออกไป ส่วนเจ้าชายรีซทรงขว้างหอก แต่ทหารคนนั้นขี่ม้าไปไม่อยู่นิ่ง ม้าของมันลื่นอยู่ในผืนทราย ทำให้ทุกคนพลาดเป้า
เอลเด็นชักดาบออกมา ธอร์เห็นว่าเขากำลังจะตามทหารคนนั้นไป จึงยื่นมือออกไปห้ามไว้
“อย่า!” ธอร์ตะโกน
เอลเด็นหันมามองเขา
“ถ้ามันรอดชีวิต มันจะส่งคนอื่นมาจัดการเรา!” เอลเด็นประท้วง
ธอร์หันกลับไปมองดูเรือ และรู้ว่ามันจะเสียเวลาอันมีค่าในการตามล่าทหารคนนั้น เวลาที่พวกเขาไม่มีจะเสีย
“จักรวรรดิจะมาจัดการเราอยู่ดี” ธอร์บอก “เราไม่มีเวลาจะเสีย สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพวกเราจะต้องไปให้ไกลจากที่นี่ ไปที่เรือ!”
พวกเขาลงจากหลังม้า เมื่อไปถึงเรือ ธอร์ล้วงเข้าไปในอานม้า หยิบสัมภาระทั้งหลายแหล่ออกมา คนอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน ขนอาวุธกับถุงกระสอบอาหารและน้ำออกมา ใครจะรู้ว่าการเดินทางจะยาวนานเพียงใด จะนานแค่ไหนกว่าที่พวกเขาจะได้เห็นแผ่นดินอีกครั้ง...หากพวกเขาจะมีโอกาสได้เห็นแผ่นดินอีก ธอร์ยังเตรียมอาหารสำหรับโครห์นมาด้วย
พวกเขาโยนกระสอบข้ามราวลูกกรงเรือไป มันหล่นตุ้บไปกองอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ธอร์คว้าเชือกเส้นใหญ่ มัดเป็นปมที่แขวนอยู่ด้านข้าง แล้วลองดึง เชือกเส้นหยาบบาดมือเขา เขายกโครห์นพาดบนบ่าแล้วดึงตัวเองขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ น้ำหนักของเขาและมันทดสอบความแข็งแรงของเขา โครห์นร้องครางอยู่ข้างหู ใช้กรงเล็บคมกอดเขาไว้แน่น
ในไม่ช้าธอร์ก็ข้ามราวลูกกรงไปได้ โครห์นกระโจนจากตัวเขาลงไปบนดาดฟ้าเรือ คนอื่นตามหลังมาติด ๆ ธอร์ชะโงกมองลงไปดูม้าที่อยู่บนชายหาด พวกมันมองขึ้นมาราวกับกำลังรอฟังคำสั่ง
“แล้วจะทำอย่างไรกับพวกมันล่ะ?” เจ้าชายรีซตรัสถาม พลางเสด็จมาประทับอยู่ข้างเขา
ธอร์หันไปมองสำรวจดูเรือ มันยาวประมาณยี่สิบฟุตและกว้างราวครึ่งหนึ่งของความยาว มันใหญ่พอสำหรับพวกเขาทั้งเจ็ดคน แต่ไม่มีที่พอสำหรับม้าของพวกเขา หากเขาจะลองพาพวกมันไปด้วย มันอาจจะกระทืบพื้นไม้ ทำเรือพัง พวกเขาจำต้องทิ้งมันไว้ที่นี่
“เราไม่มีทางเลือก” ธอร์บอก มองดูพวกมันอย่างเสียดาย “เราคงต้องไปหาม้าใหม่”
โอคอนเนอร์ชะโงกตัวเหนือราวกั้น
“พวกมันเป็นม้าที่ฉลาด” โอคอนเนอร์บอก “ข้าฝึกพวกมันมาอย่างดี มันจะกลับไปบ้านตามที่ข้าสั่ง”
โอคอนเนอร์ผิวปากเสียงดัง
ม้าทั้งหมดหันหลังแล้ววิ่งจากไปอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกมันวิ่งข้ามหาดทราย แล้วหายเข้าไปในป่า มุ่งหน้ากลับไปที่อาณาจักรวงแหวน
ธอร์หันกลับมาหาเพื่อน ๆ ดูเรือและทะเลตรงหน้าพวกเขา ตอนนี้ทุกคนถูกปล่อยเกาะแล้ว ไม่มีม้า ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไปต่อข้างหน้า ความเป็นจริงกำลังซึมซาบเข้ามา พวกเขาอยู่กันลำพังจริง ๆ แล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากเรือลำนี้ และกำลังจะไปจากชายหาดของอาณาจักรวงแหวนตลอดไป ไม่มีทางหันหลังกลับอีกแล้ว
“แล้วเราจะเอาเรือลำนี้ลงน้ำได้อย่างไร?” คอนวอลถามขึ้น ขณะที่พวกเขามองลงไปที่ลำเรือสิบห้าฟุตเบื้องล่าง มีเพียงส่วนน้อยของเรือที่อยู่ในคลื่นโยกไกวของทะเลทาร์ทูเวียน แต่ลำเรือส่วนใหญ่ยังฝังแน่นอยู่ในพื้นทราย
“ทางนี้!” คอนเวนบอก
พวกเขารีบไปที่กราบเรืออีกด้านที่มีโซ่เหล็กเส้นหนาห้อยอยู่ และที่ปลายโซ่มีลูกตุ้มเหล็กทอดตัวอยู่บนพื้นทราย
คอนเวนเอื้อมมือไปพยายามดึงโซ่ เขาส่งเสียงร้องและพยายามเต็มที่ แต่ไม่สามารถยกมันได้
“มันหนักเกินไป” เขาคำราม
คอนวอลและธอร์รีบเข้าไปช่วย ขณะที่ทั้งสามคนจับโซ่แล้วช่วยกันดึง ธอร์ก็ต้องตกใจกับน้ำหนักของมัน ขนาดว่าช่วยกันดึงสามคน พวกเขายังยกมันขึ้นมาได้แค่ไม่กี่ฟุต ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยมือ โซ่ร่วงกลับลงไปบนพื้นทราย
“ให้ข้าช่วย” เอลเด็นบอก พลางก้าวมาข้างหน้า
เอลเด็นผู้มีรูปร่างใหญ่โต ยืนตระหง่านอยู่เหนือทุกคน เขายื่นมือลงไปแล้วดึงสายโซ่ สามารถยกลูกตุ้มเหล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว ธอร์อัศจรรย์ใจมาก คนอื่น ๆ กระโดดเข้าไปช่วยกันดึง พวกเขาสามารถดึงสมอขึ้นมาได้ครั้งละหนึ่งฟุต และในที่สุดก็สามารถดึงมันข้ามลูกกรง ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือได้
เรือเริ่มขยับเคลื่อนที่ โยกไกวเล็กน้อยอยู่ในกระแสคลื่น แต่ยังคงฝังแน่นอยู่บนพื้นทราย
“เสานั่น!” เจ้าชายรีซตรัส
ธอร์หันไปเห็นเสาไม้สองต้น ยาวเกือบยี่สิบฟุต ทอดยาวติดอยู่ด้านข้างเรือ และรู้ว่าพวกมันมีไว้เพื่ออะไร เขาวิ่งไปพร้อมเจ้าชายรีซ และยกต้นนึงขึ้นมา ขณะที่คอนวอลและคอนเวนคว้าอีกต้นไว้
“พอพวกเราผลักเรือออก” ธอร์ตะโกนสั่ง “พวกเจ้าก็ช่วยกันกางใบเรือ”
พวกเขาชะโงกลงไป ทิ่มเสาไม้ลงไปในพื้นทราย และออกแรงดันสุดกำลัง ธอร์ร้องออกมาขณะพยายามดัน เรือเริ่มขยับช้า ๆ แม้จะเพียงน้อยนิด ขณะเดียวกันเอลเด็นและโอคอนเนอร์ก็วิ่งไปที่กลางลำเรือ แล้วดึงเชือกเพื่อยกผืนผ้าใบของใบเรือ พวกเขาออกแรงดึง ยกขึ้นไปได้ทีละหนึ่งฟุต โชคดีที่มีกระแสลมแรง เมื่อธอร์และคนอื่น ๆ ช่วยกันยันเสาไม้กับชายหาด พยายามเต็มที่ที่จะผลักเรือที่หนักอย่างน่าประหลาดใจนี้ออกจากหาดทราย ใบเรือก็ถูกยกสูงขึ้นไป และเริ่มกินลม
ในที่สุด เรือก็โยกอยู่ใต้เท้าพวกเขา เมื่อมันไถลลงสู่ผืนน้ำ โยกไกวและไร้น้ำหนัก ไหล่ของธอร์สั่นจากการออกแรงดัน เอลเด็นและโอคอนเนอร์ยกใบเรือขึ้นไปได้สุดเสากระโดง และในไม่ช้าพวกเขาก็ลอยลำออกสู่ทะเล
ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องยินดีในความสำเร็จ พวกเขาเก็บเสาไม้เข้าที่และวิ่งไปช่วยเอลเด็นกับโอคอนเนอร์มัดเชือกขึงใบเรือ โครห์นกระโดดโลดเต้นอยู่ข้าง ๆ ตื่นเต้นไปกับเรื่องทั้งหมด
เรือลอยลำไปอย่างไร้จุดหมาย ธอร์รีบไปถือพวงมาลัยเรือ โอคอนเนอร์อยู่ข้างเขา
“อยากถือพวงมาลัยไหม?” ธอร์ถามโอคอนเนอร์
โอคอนเนอร์ยิ้มกว้าง
“อยากมากเลยล่ะ”
พวกเขาเริ่มเพิ่มความเร็ว แล่นผ่านผืนน้ำสีเหลืองของทะเลทาร์ทูเวียน โดยมีสายลมหนุนส่ง ในที่สุดพวกเขาก็เคลื่อนที่แล้ว ธอร์สูดหายใจลึก พวกเขาออกเดินทางแล้ว
ธอร์มุ่งหน้าไปยังหัวเรือ เจ้าชายรีซเสด็จไปพร้อมเขา โดยมีโครห์นวิ่งไปตรงกลาง แล้วเบียดแข้งเบียดขาธอร์ เขาเอื้อมมือลงไปลูบขนสีขาวฟูนุ่มของมัน โครห์นเอียงเข้าหาแล้วเลียเขา ธอร์ล้วงลงไปในถุงเล็ก ๆ แล้วหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งมาให้โครห์น ที่รีบงับไป
ธอร์มองออกไปที่ทะเลกว้างเบื้องหน้า ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีจุดสีดำของกองเรือจักรวรรดิ ที่อยู่ระหว่างมุ่งหน้าไปยังดินแดนแม็คคลาวด์ที่อีกฝั่งของอาณาจักรวงแหวน โชคดีที่พวกมันมีเป้าหมาย และไม่สามารถออกมาตามหาเรือลำหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนของพวกมัน ท้องฟ้าใสกระจ่าง มีสายลมแรงพัดหนุนอยู่ด้านหลัง พวกเขายังคงเพิ่มความเร็วขึ้น
ธอร์มองออกไป พลางสงสัยว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ เขาสงสัยว่าอีกนานเพียงใดกว่าที่พวกเขาจะไปถึงดินแดนจักรวรรดิ จะมีอะไรรอต้อนรับพวกเขาอยู่ ธอร์ยังสงสัยว่าพวกเขาจะพบดาบหรือไม่ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไร เขารู้ว่าโอกาสไม่เข้าข้างพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกเบิกบานใจที่ในที่สุดก็ได้ออกเดินทางมา เขาตื่นเต้นที่ทุกคนมาได้ไกลถึงขนาดนี้ และปรารถนาที่จะกู้ดาบคืนมาให้ได้