ไมโคเพิลจ้องมองกลับมาที่พระนางเกว็นด้วยดวงตาเปล่งปลั่งสีแดงที่มีขนาดใหญ่โต เปล่งเสียงทางจมูกอย่างเบาๆ ขยับปีกของเธอและโค้งคอของเธอลงมา ธอร์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งเหมือนกับความหึงหวงหรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น
"ไมโคเพิลมารู้จักกับพระนางเกว็นโดลีน"
ไมโคเพิลหันหัวของเธอไปอย่างทรนง
ทันใดนั้นเอง เธอก็หันกลับมาและจ้องมองไปยังดวงพระเนตรของพระนางเกว็นโดลีนราวกับว่ามันสามารถมองทะลุทะลวงพระวรกายไปได้ มันชะโงกหน้าเขามาเข้าใกล้พระนาง เข้ามาใกล้จนเกือบจะชนเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์
พระนางเกว็นทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความประหลาดใจและทรงรู้สึกเกรงขาม หรืออาจจะเป็นความกลัว พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ที่สั่นเทาออกไปด้วยความกลัว แล้วทรงวางพระหัตถ์ลงที่จมูกอันยาวของไมโคเพิลและทรงสัมผัสยังเกล็ดสีม่วงของมัน
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดมาหลายวินาที ไมโคเพิลเริ่มกระพริบตาแล้วลดจมูกของเธอต่ำลง และถูมันเข้ากับท้องของพระนาง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรัก ไมโคเพิลยังคงถูจมูกของเธอกับท้องของพระนางต่อไป ราวกับว่าตัวเธอติดอยู่ตรงนั้นธอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
จากนั้น ไมโคเพิลก็หันหัวของเธอออกไปอย่างเร็ว แล้วมองขึ้นไปยังขอบฟ้า
"เธอสวยเหลือเกิน" พระนางเกว็นทรงกระซิบ
พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไป ทอดพระเนตรไปยังธอร์
"ข้าได้ล้มเลิกความหวังที่เจ้าจะกลับมา"พระนางตรัส "ข้าไม่ได้คาดคิดว่า เจ้าจะมา"
"ตัวข้าก็เหมือนกัน การคิดถึงพระองค์ มันยังคงอยู่ในใจของข้า มันเป็นเหตุผลที่มำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ อยู่เพื่อจะกลับมา"
พวกเขาเข้าสวมกอดกันอีกครั้ง กอดกันและกันอย่างแนบแน่นอย่างนั้น สัมผัสกันอย่ารักใคร่เอ็นดู จนท้ายที่สุด พวกเขาก็ผละตัวออกจากกัน
พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงต่ำและทรงสังเกตุเห็นดาบแห่งโชคชะตาอยู่ข้างลำตัวของธอร์ดวงพระเนตรเบิกกว้างและแย้มพระโอษฐ์เปิดกว้าง
"เจ้านำดาบกลับมาได้" พระองค์ตรัส พระองค์ทอดพระเนตรมองไปยังเขา ทรงยังไม่อยากเชื่อ "เจ้าเป็นคนนั้น หนึ่งเดียวที่สามารถยกดาบขึ้นได้"
ธอร์พยักหน้ารับ
"แต่ ทำได้อย่างไร" พระนางเริ่มตรัสขึ้น และทรงหยุดอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย
"ข้าไม่รู้" ธอร์กล่าว "ข้าก็แค่ทำอย่างนั้นได้"
ดวงพระเนตรของนางเบิกขึ้นด้วยความหวัง ขณะที่พระองค์ตระหนักในบางอย่างขึ้นมาได้
"อย่างนั้น โล่พลังก็ใช้ได้อีกครั้ง" พระองค์ตรัสอย่างมีความหวัง
ธอร์พยักหน้ากลับไปยังเคร่งครึม
"แอนโดรนิคัสถูกกักตัวไว้" เขากล่าว "พวกเราปลดปล่อยราชสำนักและเมืองซิเลเซียได้แล้ว"
พระนางเกว็นโดลีนมีสีพระพักตร์ที่ผ่อนคลายและมีพระเกษมสำราญ
"มันคือเจ้า" พระองค์ตรัส เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ "เจ้าปลดปล่อยเมืองของพวกเรา"
ธอร์ยักไหล่อย่างเป็นปกติ
"โดยมากแล้ว มันเป็นเพราะไมโคเพิลและดาบแห่งโชคชะตา ข้าแค่ติดตามไปด้วย"
พระนางเกว็นทรงยิ้มกว้าง
"แล้วชาวเมืองของเราล่ะ? พวกเขาปลอดภัยไหม? พวกเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?"
ธอร์พยักหน้า
"พวกเขาทั้งหมด ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่และสบายดี"
พระองค์ทรงยิ้มกว้าง ทรงดูอ่อนพระชันษาอีกครั้ง
"เจ้าชายเคนดริคกำลังทรงรอพระองค์อยู่ที่เมืองซิเลเซีย" ธอร์กล่าว "และเจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส สร็อก และคนอื่นๆพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดและมีความเป็นอยู่ดี เมืองถูกปลดปล่อยแล้ว"
พระนางเกว็นโดลีนทรงเร่งเข้าไปและทรงสวมสวมกอดธอร์ ทรงกอดเขาอย่างแนบแน่น เขารู้สึกว่าพระองค์ทรงรู้สึกปลดเปลื้องและทรงมีผ่อนคลายลง
"ข้าคิดว่าพวกเขาทั้งหมดหายสาบสูญไปแล้ว" พระองค์ตรัส ทรงกรรแสงออกมาเบาๆ "ข้าคิดว่ามันคงสูญสิ้นไปชั่วกาลนาน"
ธอร์ส่ายหัว
"อาณาจักรวงแหวนยังคงอยู่" เขากล่าว "พวกแอนโดรนิคัสกำลังฆ่าพากันหนี พวกเราจะกลับไปกลับไปกวาดล้างพวกมัน และพวกเราก็จะเริ่มสร้างเมืองขึ้นมาใหม่"
พระนางเกว็นโดลีนทรงหันกลับไปหาเขา และทรงทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้า ทรงเช็ดน้ำพระเนตรออก พระองค์ทรงดึงฉลองพระองค์คลุมพันรอบพระวรกายแน่นขึ้นและสรพระพักตร์เต็มไปด้วยความเข้าใจ
"ข้าไม่รู้ว่า ถ้าข้ากลับไปที่นั่น"พระองค์ตรัส อย่างลังเล "บางอย่างได้เกิดขึ้นกับตัวข้า ในขณะที่เจ้าไม่อยู่"
ธอร์หันไปมองพระองค์ เขากอดพระองค์รอบพระอังสา
"ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์" เขากล่าว "พระมารดาของพระองค์ได้ทรงตรัสบอกกับข้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าอับอายเลย" เขากล่าว
พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรไปยังเขา ดวงพระเนตรเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทรงสงสัย
"เจ้ารู้ งั้นหรือ?" พระองค์ตรัสถามอย่างตกใจสุดขีด
ธอร์พยักหน้า
"มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย"เขากล่าว "ข้ารักพระองค์มากเท่ากับที่เคยเป็นมา ยิ่งมากกว่าด้วยซ้ำ ความรักของเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมันไม่มีทางจะถูกทำลายไปได้ ข้าว่าข้าจะต้องแก้แค้นให้กลับท่าน ข้าจะฆ่าพวกแอนโดรนิคัสด้วยตัวของข้าเอง และเพื่อความรักของเรา มันจะไม่มีวันตาย"
พระนางเกว็นทรงเร่งเข้าไปสวมกอดธอร์อย่างแนบแน่น น้ำพระเนตรหลั่งไหลลงมายังคอของเขา และเขารับรู้ความรู้สึกแห่งการปลดเปลื้องของพระองค์
"ข้ารักเจ้า" พระนางเกว็นตรัสในหูของเขา
"ข้าก็รักพระองค์เช่นกัน" เขาตอบกลับไป
ขณะที่ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น สวมกอดพระนางเอาไว้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอาการสั่นกลัว เขาต้องการทำมันเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้มากกว่าสิ่งใดทั้งมวลที่จะถามเธอ ที่จะขอเธอแต่งงาน แต่เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรทำจนกว่าเขาจะบอกความลับของเขากับเธอเสียก่อน จนกว่าที่เขาจะบอกเธอว่าพ่อของเขาคือใคร
ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยความอับอายและอัปยศอดสู ตรงนี้เอง ที่เขายืนอยู่ และปฏิญาณตนว่า จะฆ่าพวกคนที่ พวกเขาเกลียดมากที่สุดทุกคน และนี่ก็คือ คำพูดต่อไปของเขา เขาจะพูดออกมาอย่างไร ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขา?
ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าถ้าเขาทำอย่างนั้น พระนางเกว็นโดลีนก็จะเกลียดเขาตลอดไป และเขาไม่สามารถเสี่ยงที่จะสูญเสียพระองค์ไปอีก ไม่ได้ หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นมาแล้ว เขาก็รักพระองค์มากเหลือเกิน
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มือของเขากับสั่นไหว ธอร์เอื้อมมือไปที่กระเป๋าเสื้อของเขาและดึงสร้อยคอชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นสร้อยที่เขาพบในระหว่างที่ตามหาสมบัติมีค่าของมังกร เชือกที่ทำมาจากทองคำและมีรูปหัวใจทองคำที่เปล่งประกาย รวมถึงมีเพชรและทับทิมอยู่ด้วย เขายกมันขึ้นมาอยู่ในแสงสว่าง ให้พระนางเกว็นทอดพระเนตรดู พระนางทรงอ้าพระโอษฐ์ เมื่อเห็นมันอยู่ตรงนั้น
ธอร์เดินมาด้านหลังของเธอ แล้วสวมใส่มันรอบพระศอของนาง
"มันคือสิ่งเล็กน้อยที่แสดงความรักใคร่ของข้าพระองค์" เขากล่าว
มันดูสวยงามเมื่อพระนางสวมใส่ ทองคำเปล่งประกายท่ามกลางแสงและสะท้อนทุกอย่างออกมา
แหวนที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมา ธอร์ปฏิญาณว่า จะให้มันกับเธอเมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อเขาสามารถรวบรวมความกล้าที่จะบอกความจริงกับพระองค์แต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั้น ทั้งๆ ที่เขาหวังว่ามันควรจะเป็น
"พระองค์เห็นไหมว่า ทรงกลับไปแล้ว" ธอร์กล่าวพร้อมจับแก้มของพระองค์อย่างแผ่วเบาจากหลังมือของเขา "พระองค์ต้องกลับไป ประชาชนกำลังต้องการพระองค์ พวกเขาต้องการผู้นำ อาณาจักรวงแหวนจะไม่เหลืออะไร หากปราศจากผู้นำ พวกเขาต้องการพระองค์เพื่อชี้แนวทาง พวกแอนโดรนิคัสยังคงอยู่อย่างเงียบๆในครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเมืองหลายหลายเมืองกำลังต้องการการบูรณะ
เขามองไปที่ดวงพระเนตรของนางและสามารถเห็นว่าพระองค์กำลังรวบรวมความคิด
"ตอบว่า ตกลงเถิด"ธอร์เร่งเร้า "กลับไปกับเกล้ากระหม่อม หอคอยนี้ไม่ใช่สถานที่ สำหรับหญิงสาวที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต อาณาจักรวงแหวนต้องการพระองค์ ข้าต้องการพระองค์"
ธอร์ยื่นมือออกมาแล้วรอคอย พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปอย่างลังเล
ในที่สุด พระนางก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา และวางมันลงบนมือของเขา สายพระเนตรดูอ่อนลงเรื่อยๆและมีแววแห่งความรักและความอบอุ่นอยู่ในนั้น เขามองเห็นว่าพระองค์กลับมาเป็นพระนางเกว็นโดลีนคนเดิมของเขาอีกครั้ง รับรู้สึกถึงความรู้สึกของชีวิตความรักและความสุขใจ มันเหมือนราวกับว่าพระองค์เป็นดอกไม้ที่ฟื้นคืนขึ้นมาในดวงตาของเขา
"ข้าตกลง" พระองค์ตรัสอย่างแผ่วเบา และทรงแย้มพระโอษฐ์
พวกเขาสวมกอดกันและเขากอดพระองค์แนบแน่น และปฏิญาณว่าจะไม่ปล่อยพระองค์ไปไหนอีกแล้ว
บทที่ เจ็ด
อีเร็คเปิดตาของเขาและพบว่าเขานอนอยู่ในอ้อมแขนของอลิสแตร์ เขามองขึ้นไปยังนัยน์ตาสดใสสีฟ้าของเธอที่เหมือนแสงส่องลงมา อันเปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่น เธอมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เขารู้สึกว่าความอบอุ่นแผ่ออกมาจากมือของเธอแล้วไปทั่วร่างของเขา เมื่อเขาตรวจสอบตัวเองดู เขารู้สึกว่าร่างกายได้รับการเยียวยาแล้วอย่างสมบูรณ์ รู้สึกดั่งเกิดใหม่ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นางได้ชุบชีวิตเขาขึ้นจากความตาย
อีเร็คลุกขึ้นนั่งมองเข้าไปในดวงตาของอลิสแตร์ด้วยความประหลาดใจ และเขารู้สึกพิศวงอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใคร เธอถึงมีพลังแบบนั้นได้อย่างไร
เมื่ออีเร็คลุกขึ้นนั่งแล้วนวดหัวตัวเอง เขาก็จำได้โดยทันที เรื่องทหารของแอนโดรนิคัส การโจมตี การปกป้องธารน้ำลึก และหินก้อนขนาดใหญ่
อีเร็คกระโดดขึ้นด้วยสองเท้าของเขาและมองมายังทหารทั้งหลายที่ตากมองมาที่ตัวเขาราวกับว่ารอคอยการฟื้นคืนและรอคำสั่งใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยการปลดเปลื้อง
"ข้าหมดสติไปนานเท่าไหร่?" เขาหันมาถามอลิสแตร์อย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกผิดที่ต้องละทิ้งคนของเขาไว้เป็นเวลานาน แต่เธอยิ้มกลับมาที่เขายังหวานชื่น
"นานราวหนึ่งวินาที" เธอกล่าว
อีเร็คไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เขารู้สึกฟื้นตัวแข็งแรงราวกับว่า เขานอนหลับไปหลายปี เขารู้สึกถึงการพุ่งกระโดดของตนในรูปแบบใหม่ เมื่อเขายกเท้าขึ้นกระโดดตัว วกตัวกลับ แล้ววิ่งไปบริเวณทางเข้าของธารน้ำลึก และได้เห็นงานฝีมือของเขาม ก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาพุ่งเข้าชน ตอนนี้มันหยุดนิ่งและทหารของแอนโดรนิคัสไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จลง เขาได้ปกป้องทัพตนจากกองทัพขนาดใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้
ก่อนที่เขาจะเฉลิมฉลองนั้น อีเร็คได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านบน เขามองขึ้นไปบนของหน้าผา ทหารนายหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้นมา ก่อนจะเซล้มลงไปด้านหลัง แล้วจึงตกลงสู่พื้นดิน จบสิ้นชีวิต
อีเร็คมองลงไปที่รางของทหารจึงเห็นว่ามันมีหอกที่เสียบทะลุเขารามจากนั้นจึงมองกลับไปเห็นกิจกรรมของ กองทัพเจ้าบ้านที่ตะโกนกรีดร้องปะทุขึ้นไปในทุกที่ดันหน้าของเขาทหารแอนโดรนิคัสหลายสิบคนโผล่ขึ้นมาด้านบนต่อสู้มือเปล่ากับทหารแห่งดยุค เข้าตีต่อยตัวต่อตัว และอีเร็คระลึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้บัญชาการของจักรวรรดิได้แยกกองกำลังเป็นสองส่วน ส่งฝ่ายหนึ่งผ่านเข้ามาตรงลำธารน้ำ อีกฝ่ายหนึ่งส่งขึ้นมาเข้าปะทะบนภูเขา
"ขึ้นไปด้านบนสุด!" อีเร็คออกคำสั่ง "ปีนขึ้นไป!"
ทหารของดยุคตามคำสั่งเขา ในขณะที่เขาวิ่งตรงขึ้นไปบนภูเขา ถือดาบอยู่ในมือ ขึ้นไปตรงทางลาดชันของก้อนหินและฝุ่นผง ในหลายๆ ก้าวที่เขามุ่งไป เขาลื่นไถลและเขาต้องใช้ฝ่ามือจับหน้าผาตรงรอยแตกที่มีอยู่ในหิน จับให้มั่น เขาพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ตกลงมาทางด้านหลัง เขาวิ่งไปแต่พื้นผิวมันมีความลาดชันมากและมันเป็นการปีนขึ้นมากกว่าการวิ่ง แต่ละก้าวเดินคือการต่อสู้อันยากยิ่ง เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังอยู่รอบตัว ขณะที่ทหารของพวกเขามีอารมณ์ขุ่นเคืองและหายใจหอบ เหมือนกับแพะภูเขาที่เดินตรงขึ้นไปยังหน้าผา
"พลธนู!” อีเร็คตะโกนร้อง
ด้านล่างนั่น ทหารพลธนูหลายสิบนายของ ได้ยกกำลังประเมินสถานการณ์บนภูเขา หยุดดูแล้วเล็งเป้าขึ้นไปบริเวณหน้าผา พวกเขาปล่อยการระดมยิงลูกธนูออกไปอย่างทหารของจักรวรรดิ หลายนายที่กรีดร้องและพากันถอยหลังกลิ้งลงมาอยู่ด้านข้างของหน้าผา มีร่างหนึ่งตกลงมาอยู่ตรงหน้าอีเร็ค เขาหลบเลี่ยงแต่เกือบจะไม่พ้นจากร่างนั้น ทหารของดยุคคนหนึ่งไม่ได้มีโชค ร่างที่ตกลงมาจากข้างบน พุ่งลงมาทับเขา มันส่งให้เขาลอยไปด้านหลัง กรีดร้องเสียงดังอยู่ใต้ร่างของศพที่หนักอึ้งนั่น
พลธนูพร้อมเข้าประจำตำแหน่งและมองยังด้านบน ด้านล่างของภูเขา เขายิงไปในทุกครั้งที่ทหารจักรวรรดิโผล่หัวขึ้นมา จากขอบหน้าผา เพื่อรักษาที่มั่นของตนไว้
แต่การยิงขึ้นไปนั้น มันค่อนข้างจะจัดการได้ยาก เป็นมือต่อมือ ไม่ใช่ว่าลูกธนูทุกลูกจะสามารถเข้าชนกับเป้าหมายได้หมด ธนูลูกหนึ่งพลาดเป้า ยิงเข้าไปทางด้านหลังของทหารของดยุคเอง ทหารนั้นร้องเสียงดังแล้วโค้งหลังลง ทหารของจักรวรรดิใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ เขาแทงเข้าไปแล้วกระแทกเขาให้ถอยหลัง ตกลงจากหน้าผา แต่เมื่อทหารของจักรวรรดิไร้การกำบัง พลธนูอีกนายก็ยิงลูกธนูเข้าไปที่ช่องท้อง มันสังหารเขา ร่างของเขาตกลงมาหน้าคว่ำจากขอบหน้าผา
อีเร็คเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า เฉกเช่นเดียวกับทหารรอบๆ ตัวเขาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นไปยังหน้าผา เมื่อเขาเข้าใกล้ด้านบนสุดห่างไปเพียงหนึ่งฟุต เขาก็เริ่มจะลื่นไถลและกำลังจะตกลงมา เขาพยายามเอื้อมมือไปจับรากไม้หนาอันหนึ่งที่โผล่มาจากเนื้อหิน เขาจับมันแน่น เพื่อชีวิตของเขาเอง และห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามดึงตัวเองขึ้นไป โดยใช้เท้าทั้งสองและก้าวขึ้นไปด้านบนอย่างต่อเนื่อง
อีเร็คมาถึงด้านบนก่อนทหารคนอื่นๆและเร่งไปข้างหน้าด้วยการร้องเสียงดังแห่งการประจัญบาน ยกดาบขึ้นสูงด้วยความกระตือรือร้นที่จะช่วยปกป้องทหารของเขาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งด้านบนสุด แต่ก็กำลังถูกผลักให้ร่นตำแหน่งมาด้านหลัง ทหารของเขามีเพียงไม่กี่โหลด้านบนนี้ และแต่ละคนก็พัวพันสู้กับทหารจักรวรรดิตัวต่อตัว กองกำลังทางนั้นมีมากกว่าเขาถึงสองต่อหนึ่ง ในทุกวินาทีที่พาดผ่าน ทหารของจักรวรรดิก็เพิ่มจำนวนมายังด้านบนเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ
อีเร็คต่อสู้เหมือนกับคนเสียสติจู่โจมเข้าไปแทงทหารสองคนในคราวเดียวและช่วยคนของเขาให้เป็นอิสระ ไม่มีใครกระทำการรบในสงครามได้เร็วกว่าเขา ไม่มีใครทั้งอาณาจักรวงแหวนที่จะถือดาบสองดาบในมือแล้วฟาดฟันเข้าไปได้ในทุกทิศ อีเร็คใช้ความสามารถที่พิเศษของยอดนักรบแห่งกองรบเงินนี้ต่อสู้กับพวกจักรวรรดิ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้าง เขาทั้งหมุนตัว หลบหลีก เข้าฟัน มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังกลุ่มทหารจักรวรรดิอันหนาแน่น เขาหลบและใช้หัวพุ่งเข้า พร้อมปัดป้องด้วยความเร็วที่เขาเลือกที่จะไม่ใช้โล่ป้องกัน
อีเร็คฉีกผ่านกองกำลังพวกเขาเหมือนกับลม ล้มคว่ำทหารนับโหล ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ป้องกันตัว และทหารของดยุคก็อยู่รอบๆ ตัวเขาชุมนุมกันอยู่ด้านหลัง ทหารที่เหลือของดยุคก็กำลังขึ้นมาสู่ยอดด้วย แบรนด์ท และดยุคก็นำหน้า ต่อสู้เคียงข้างกับอีเร็ค ในไม่ช้าโมเมนตัมก็เปลี่ยนทิศ แล้วพวกเขาก็พบว่า ตัวเองกำลังดันให้ทหารจักรวรรดิล่าถอย ซากศพ กองสุมสูงขึ้นมาอยู่รอบตัวพวกเขา
อีเร็คเตรียมพร้อมจะสู้กับทหารจักรวรรดิระลอกสุดท้ายที่ยังคงอยู่บนยอดเขา เขาต้อนทหารนายหนึ่งล่าถอยไป ก่อนที่จะเอียงตัวเข้ามา เตะส่งเขากลับไปยังฝั่งของทหารจักรวรรดิกรีดร้อง เมื่อเขากลิ้งตัวไปด้านหลัง
อีเร็คกับทหารของเขาทั้งหมดยืนตรงนั้น พยายามสูดลมหายใจ อีเร็คก้าวไปข้างหน้าผ่านพื้นที่จุดขึ้นปะทะ จนไปถึงขอบเหวจากฝั่งของทหารจักรวรรดิ เขาต้องการจะมองลงด้านล่างว่ามีอะไร พวกจักรวรรดิได้หยุดส่งทหารขึ้นมาบนนี้อย่างชาญฉลาด แต่อีเร็คมีความรู้สึกลึกๆ ว่าจะต้องมีอะไรเก็บงำเอาไว้ ทหารของเขาขึ้นมาอยู่ด้านข้างของเขาและมองลงไปด้วย
ไม่มีอะไรในมโนภาพที่ร้ายที่สุดจะเตรียมตัวเตรียมใจเขาให้พบกับสิ่งที่อยู่ ณ เบื้องล่าง หัวใจเขาดิ่งลงหุบเหว นอกเหนือไปจากนายทหารหลายร้อยคนที่เขาได้ฆ่าไป นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่า เขาสามารถปิดกั้นส่วนธารน้ำได้ และเข้ายึดจุดสูงด้านบนนี้ สิ่งที่มองเห็นด้านล่างคือพลทหารหลายหมื่นนายของฝ่ายจักรวรรดิ
อีเร็คแทบจะไม่อยากเชื่อมัน มันได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากระทำไปมากมาย ความเสียหายทุกอย่างที่พวกเขาทำไม่ได้กระทบกระเทือนกับกำลังทหารของจักรวรรดิอันไม่มีที่สิ้นสุดได้เลย พวกจักรวรรดิยังคงส่งทหารมามากขึ้นๆ มาที่นี่ อีเร็คและทหารของเขาสามารถฆ่าฟันทหารอีกหลายสิบหลายร้อยคน แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาคงสามารถฆ่าล้างจำนวนหลายพัน
อีเร็คยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้ว่า เขากำลังจะตายอยู่ตรงพื้นที่ตรงนี้ ในวันนี้ มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว แต่เขาจะไม่เสียใจ เขาได้ปกป้องอย่างวีรบุรุษแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะตาย มันก็จะไม่มีวิธีใดหรือที่แห่งใดที่ดีไปกว่านี้ เขากำดาบในมือและใส่ความแกร่งกล้าให้กับตัวเอง ความลังเลเพียงอย่างเดียวก็คือ อลิสแตร์จะต้องปลอดภัย
บางทีเขาคิดว่าชีวิตในชาติหน้า เขาคงจะมีเวลากับเธอได้มากกว่านี้
"คือ พวกเราน่าจะมีการหนีที่ดี" เสียงหนึ่งดังขึ้น
อีเร็คหันไปเห็นแบรนด์ท เข้ามายืนด้านข้างมือของเขาจับดาบและรู้สึกอ่อนข้อ พวกเขาทั้งสองต่อสู้กับสมรภูมิด้วยกันมานับไม่ถ้วนและถูกโจมตีจากฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าอยู่หลายครา แต่กระนั้น อีเร็คก็ไม่เคยเห็นสีหน้าของเพื่อนเขาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันคงเหมือนเป็นเงาสะท้อนให้กับตัวเขาเองว่า สัญญาณแห่งความตายได้มาถึงที่นี่แล้ว
"อย่างน้อยพวกเราก็จะลงไปพร้อมกับดาบในมือ" ดยุคกล่าวขึ้น
มันเหมือนกับ เสียงสะท้อนในความคิดของอีเร็คไม่มีผิด
ข้างล่างนั้นมีทหารของจักรวรรดิมองขึ้นมาพวกเขาอีกหลายพัน คน เริ่มชุมนุมเดินสวนสนามกันอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าเข้ามาสู่หน้าผา พร้อมกับอาวุธมากมาย กองพลธนูของจักรวรรดิเริ่มจะคุกเข่าลง อีเร็ครู้ว่า ณ วินาทีนั้น การนองเลือดกำลังจะเริ่มขึ้น เขาฮึดสู้ขึ้นมาและสูดลมหายใจลึกๆ
ในทันใดนั้น มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมาจากบางแห่งบนท้องฟ้า มาจากสุดขอบฟ้า อีเร็คมองขึ้นไปบนฟากฟ้า และกำลังสงสัยว่า เขาได้ยินเสียงของสิ่งใดกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเสียงร้องของมังกร เขาคิดว่าบางทีมันน่าจะเป็นเสียงแบบนั้น มันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยลืมเลือน วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงนั้นจากการฝึกฝนร้อยวัน มันเป็นเสียงที่เขาไม่คิดว่า เขาจะได้ยินมันอีกครั้ง แล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ มังกร งั้นหรือ? ในอาณาจักรวงแหวน งั้นหรือ?
อีเร็คชะเง้อคอขึ้นไปมองในระยะไกลออกไป ผ่านหมู่เมฆหมอก เขาจึงเห็นภาพที่ปะทุขึ้นผลาญเข้าในใจเขาตราบชั่วชีวิต สิ่งที่บินมา มุ่งหน้าสู่พวกเขานั้น มันเป็นปีกอันใหญ่โตมโหฬารกระพือขึ้นลง มันเป็นมังกรสีม่วงที่มีขนาดใหญ่ พร้อมกับตาสีแดง ภาพที่อยู่เบื้องหลังหน้านั้นดูน่ากลัวมากกว่าทหารทั้งกองทัพ
แต่เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ สีหน้าท่าทางเขาเปลี่ยนไปสู่ความสับสน เขาคิดว่าเขาเห็นมนุษย์สองคนนั่งอยู่บนหลังมังกร เมื่ออีเร็คหรี่ตาของเขาลง เขาคิดว่าจำสองคนนั้นได้ หรือว่าดวงตาของเขาเล่นตลกอะไรกันแน่?
ตรงนั้น บนหลังของมังกรมีธอร์กรินนั่งอยู่ ส่วนด้านหลัง คนนั่งเกาะเอวธอร์อยู่คือ ลูกสาวของราชาแม็คกิล คือพระนางเกว็นโดลีน
ก่อนที่อีเร็คจะประมวลความคิดอะไรในสิ่งที่เขาเห็น มังกรก็โฉบลงมา ดำดิ่งเข้าไปสู่พื้นดินเหมือนกับนกอินทรีย์ มันเปิดปากของมันออก แล้วส่งเสียงหวีดร้องอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นเสียงที่ดังแหลมที่ก้อนหินใหญ่ด้านข้างอีเร็คเริ่มจะปริแตก ทั้งพื้นพิภพสั่นสะเทือนเมื่อมังกรพุ่งลงมา เปิดปากของมันแล้วพ่นไฟ มันดูไม่เหมือนสิ่งใดทั้งมวลที่อีเร็คเคยพบเห็นมาก่อน
ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงร้องจากทหารจักรวรรดิหลายพัน นายระลอกของไฟกลืนกินเผาเขาไประลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งหุบเขาถูกจุดขึ้นด้วยเปลวเพลิง ธอร์กำกับมังกรขึ้นและลงตามแถวของทหาร กวาดล้างพวกเขาจำนวนมากมายในชั่วพริบตา
ทหารที่เหลืออยู่หันตัววิ่งหนี แข่งกันหนีรอดไปสู่ขอบฟ้า ธอร์พยายามตามล่าพวกเขาด้วยเขานำทางมังกรที่พ่นเพลิงออกมามากขึ้น
เพียงชั่วอึดใจทหารทั้งหมดด้านล่างของอีเร็ค กองทหารที่เขารู้สึกว่าจะนำความตายมาถึงตัว ทั้งหมดนั่นโดนสังหารสิ้นซาก ส่วนที่เหลืออยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า ซากที่ดำเป็นตอตะโก กองไฟและเปลวเพลิง และดวงจิตวิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ตรงนั้น กองทัพจักรวรรดิทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว