เขามองไปรอบๆอย่างช้าๆและเก็บรายละเอียดที่เกิดเหตุ มันเป็นพื้นที่ปกคลุมด้วยป่าทึบที่เป็นต้นสนกับต้นซีดาร์ทั้งหมดและส่วนมากก็เป็นพงไม้เตี้ยๆที่มีลำธารไหลเป็นฟองอย่างสงบพาดผ่านไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ถึงตอนนี้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่วันนี้มันคงไม่ร้อนมากไปกว่านี้แล้ว ศพคงยังไม่น่าจะเน่าเร็วในทันที ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันคงจะเป็นการดีที่สุดหากจะเคลื่อนย้ายศพออกจากที่นี่และส่งไปที่ควอนติโก้ เจ้าหน้าที่นิติเวชที่นั่นคงอยากจะตรวจดูตอนที่ศพมันยังร้อนๆอยู่ รถบรรทุกเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตรเข้ามาจอดบนถนนลูกรังด้านหลังรถตำรวจ เพื่อจะรอรับกลับแล้ว
ถนนไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าทางลาดยางคู่ขนานไปจนสุดป่า เจ้าฆาตกรต้องใช้เส้นทางนี้ขับรถไปมาเกือบจะแน่นอน มันต้องขนศพระยะทางสั้นๆผ่านทางแคบๆมาจนถึงจุดนี้ จัดการจัดวางท่าและก็หนีไป มันคงไม่ได้อยู่นาน ถึงแม้ว่าที่แถวนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย แต่หน่วยลาดตระเวนตรวจพื้นที่แถวนี้เป็นประจำ แถมรถภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใช้ถนนนี้ด้วย มันตั้งใจให้คนมาเจอศพและดูจะภูมิใจกับผลงานของตัวเองมาก
แล้วศพก็ ถูกพบ โดยกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาในตอนเช้าตรู่ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เช่าม้าขี่ หัวหน้ากองกำลังพิเศษได้บอกบิลไว้แบบนั้น พวกเขาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอาร์ลิงตั้นอาศัยอยู่ที่คอกม้าแบบตะวันตกถูกๆนอกเมืองยาร์เนล หัวหน้ากองบอกว่าพวกเขากำลังหัวเสียกันนิดหน่อยเลยตอนนี้ เพราะโดนบอกห้ามออกนอกเมือง และบิลก็วางแผนไว้ว่าจะไปสอบถามพวกเขาหลังจากนี้
มันดูแทบไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรแวดล้อมศพในบริเวณพื้นที่แถวนี้เลย เจ้าหมอนั่นมันจัดการอย่างระมัดระวังมาก มันต้องลากอะไรบางอย่างไว้ด้านหลังตัวเองตอนขากลับจากลำธาร – ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นพลั่วนะ – เพื่อจะลบร่องรอยของรอยเท้า ไม่มีเศษซากของอะไรเหลือทิ้งไว้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รอยล้อยางบนพื้นถนนน่าจะโดนทำลายจนสิ้นซากหมดแล้วโดยรถขนส่งตำรวจและเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตร
บิลถอนหายใจกับตัวเอง
บ้าเอ้ย เขานึกด่าในใจ ไรล์ลี่หายตัวไปอยู่ไหนนะเวลาที่ฉันต้องการเธอ
คู่หูและเพื่อนสนิทอันยาวนานของเขาโดนสั่งพักงานโดยไม่สมัครใจ เพื่อให้ไปรักษาตัวจากบาดแผลที่ได้มาจากการทำคดีล่าสุดของทั้งคู่ ถูกแล้ว คดีนั้นมันโหดสุดๆไปเลย เธอต้องการเวลานอก และอาจต้องยอมรับความจริงว่าเธออาจไม่ได้กลับมาอีก
แต่บิลก็ต้องการเธอจริงๆในเวลานี้ ไรล์ลี่นั้นฉลาดกว่าเขามากและตัวเขาเองก็ไม่มายด์ที่จะยอมรับในเรื่องนี้ เขาชอบดูวิธีการคิดเวลาทำคดีของเธอ เขาลองนึกภาพเธอเก็บข้อมูลซีนที่เกิดเหตุนี้ ในทุกรายละเอียดทุกเม็ด ถึงตอนนี้เธอคงต้องล้อเขาแล้วที่มองไม่เห็นร่องรอยที่แสนจะชัดเจนราวกับประเคนอยู่ตรงหน้าแบบนี้
อะไรที่คิดว่าไรล์ลี่จะค้นพบในขณะที่เขามองข้าม?
เขารู้สึกไปไม่เป็น และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วตอนนี้
“เอาหละ พวกคุณ” บิลตะโกนออกไปบอกตำรวจคนอื่นๆ “เคลื่อนย้ายศพได้”
ตำรวจพวกนั้นหัวเราะและแปะมือกันรัวๆ
“คุณว่ามันจะก่อเหตุอีกมั้ย?” สเปลเบร็นถามขึ้นมา
“แหงอยู่แล้ว” บิลตอบ
“คุณรู้ได้ยังไง?”
บิลหายใจเข้ายาวก่อนตอบ
“เพราะผมเคยเห็นผลงานมันมาก่อนน่ะสิ”
บทที่ 2
“มันแย่ลงทุกวันสำหรับเธอ” แซม ฟลอเรส พูดขึ้น พร้อมดึงอีกภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาบนจอโปรเจ็คเตอร์ผ่านเลนส์เครื่องฉายมัลติมีเดียที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะประชุม “ไล่มาจนถึงตอนที่มันเก็บเธอเลย”
บิลก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังเกลียดที่เขาคิดถูก
องค์กรได้ส่งร่างของเธอไปที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้ หน่วยนิติเวชได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว และได้เริ่มดำเนินการตรวจวิจัยในห้องแล็ปแล้ว ฟลอเรส,เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปสวมแว่นขอบสีดำ, เปิดหน้าสไลด์อันน่าสยดสยองต่อไปเรื่อยๆ และตอนนี้จอภาพโปรเจ็คเตอร์ขนาดมหึมาในห้องประชุมของหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเหลือบมอง
“เธอเสียชีวิตมานานเท่าไหร่ก่อนศพจะถูกพบ?” บิลถามขึ้น
“ไม่นาน” เขาตอบ “อาจจะประมาณช่วงค่ำของวันก่อนหน้า”
ข้างๆบิลนั้น สเปลเบร็นก็นั่งอยู่ด้วย เขาบินมาควอนติโก้กับบิลหลังกลับจากยาร์เนล ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นคือหัวหน้าทีม เจ้าหน้าที่พิเศษ เบรนท์ เมอเรดิธ เมอเรดิธลุกขึ้นยืนบดบังภาพสุดสลดด้วยร่างกายกว้างใหญ่กำยำและด้วยรูปหน้าเป็นเหลี่ยมขึงขังเอาจริง ไม่ใช่ว่าบิลจะกลัวเขาหรอกนะ – ไม่เลยแม้แต่น้อย เขาอยากจะคิดว่าเรามีอะไรที่คล้ายๆกันมากกว่า เขาทั้งสองผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนและต่างก็เห็นโลกมาหมดแล้ว
ฟลอเรสเปิดภาพแบบซูมอินที่บาดแผลของเหยื่อติดต่อกันหลายภาพ
“บาดแผลทางด้านซ้ายนั้นโดนมาซักพักแล้ว” เขากล่าว “ส่วนบาดแผลทางด้านขวานั้นเพิ่งได้รับมา บางแผลก็เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆไม่กี่ชั่วโมงหรือแม้กระทั่งไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะรัดคอเธอด้วยริบบิ้น ดูเหมือนฆาตกรจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆระหว่างช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่เขาจับเธอมา การหักแขนของเธอคงเป็นการลงมือรอบสุดท้ายในระหว่างที่เธอยังมีชีวิต” “ร่องรอยบาดแผลสำหรับผมมันดูเหมือนฝีมือของผู้ต้องสงสัยคนนึง” เมอเรดิธบอกสิ่งที่สังเกต “ดูจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นฝีมือผู้ชาย มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมั้ย?”
“ดูจากรอยจิ้มเล็กๆบนหนังศีรษะ สันนิษฐานว่าเธอคงจะถูกโกนหัวสองวันก่อนโดนฆาตกรรม” ฟลอเรสอธิบายต่อ “วิกผมนั้นก็เป็นเศษจากวิกผมราคาถูกหลายๆอันมาเย็บต่อกัน คอนแท็คเลนส์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะสั่งซื้อแบบจัดส่งไปรษณีย์มา แล้วอีกอย่าง” เขาหยุดมองไปที่หน้าทุกคน พูดอย่างลังเล “มันทาตัวเธอด้วยวาสลีน”
บิลรู้สึกได้ถึงระดับความตึงเครียดในห้องประชุมที่ค่อยเพิ่มมากขึ้น
“วาสลีนเหรอ?” เขาถาม
ฟลอเรสพยักหน้า
“เพื่ออะไร?” สเปลเบร็นถามบ้าง
ฟลอเรสยักไหล่และตอบ
“นั่นเป็นหน้าที่ของคุณ”
บิลนึกย้อนไปถึงนักท่องเที่ยวสองคนที่เขาสอบสวนเมื่อวาน พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ตัดสินใจไม่ได้ระหว่างความอยากรู้อยากเห็นอันไม่สมควรกับความหวาดวิตกกับสิ่งที่ได้พบเจอมา พวกเขากุลีกุจอที่จะกลับไปบ้านที่อาร์ลิงตั้นและเราก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะคุมตัวพวกเขาไว้ได้ พวกเขาโดนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ จนครบทุกคนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังระวังตัวไม่ปริปากบอกออกมาว่าได้เห็นอะไรมาบ้าง
เมอเรดิธถอนหายใจและวางมือทั้งสองลงบนโต๊ะ
“ทำได้ดีมาก ฟลอเรส” เมอเรดิธกล่าวชม
ฟลอเรสดูซาบซึ้งกับคำชม—ระคนความแปลกใจด้วยนิดหน่อย เบรนท์ เมอเรดิธไม่ใช่คนที่จะชมอะไรใครง่ายๆ
“เอาหละ เจ้าหน้าที่พิเศษเจฟฟรี่ส์” เมอเรดิธหันหน้ามาทางเขา “อธิบายให้เราฟังหน่อยสิว่ามันมีความเกี่ยวพันกับคดีเก่าของคุณยังไง”
บิลสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้
“ประมาณเมื่อหกเดือนก่อน” เขาเริ่มสาธยาย “อันที่จริงก็ประมาณวันที่ 16 ธันวาคม – ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ถูกพบในฟาร์มใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ผมถูกเรียกตัวให้เข้าสืบสวนด้วยกันกับคู่หูของผมคือ ไรล์ลี่ เพจ อากาศวันนั้นมันหนาวจับจิต และสภาพศพก็แข็งราวกับหิน มันยากที่จะบอกได้ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่นั่นนานเท่าไหร่แล้ว และเวลาที่เหยื่อเสียชีวิตก็ไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด ฟลอเรส ช่วยแชร์ข้อมูลให้พวกเขาดูหน่อย”
ฟลอเรสหันกลับไปที่หน้าแผ่นสไลด์ ในจอภาพถูกแยกเป็นหน้าต่างย่อยออกมาและข้างๆรูปที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว เผยให้เห็นรูปภาพเซ็ตใหม่ที่เพิ่งถูกเรียกขึ้นมา รูปของเหยื่อทั้งสองถูกวางเทียบข้างกัน บิลอ้าปากหวอ มันยอดไปเลย นอกเหนือจากเนื้อที่แข็งเป็นหินของศพนึงแล้ว ศพทั้งสองนั้นแทบจะมีสภาพเหมือนกัน บาดแผลแทบไม่ต่างกันเลย หญิงสาวทั้งสองโดยเย็บตาเปิดไว้ในสภาพน่าอนาถเหมือนกัน
บิลถอนหายใจ เห็นรูปพวกนี้แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติภารกิจมาแล้วกี่ปี แต่เห็นรูปเหยื่อทีไรก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“ศพของโรเจอร์สถูกพบในท่านั่งหลังตรงพิงอยู่กับต้นไม้” บิลเล่าต่อ เสียงของเขานั้นดูจริงจังมากขึ้น “ไม่ได้จัดท่าเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดเหยื่อในคดีที่โมวส์บี้พาร์ค ไม่มีคอนแท็คเลนส์หรือวาสลีน แต่รายละเอียดส่วนมากนั้นเหมือนกันทุกประการ ผมของโรเจอร์สโดนหั่นสั้น ไม่ได้ถูกโกนผม แต่สภาพวิกผมที่เอามาเย็บต่อๆกันนั้นเหมือนกัน เธอโดนรัดคอด้วยริบบิ้นสีชมพูเหมือนกัน และดอกกุหลาบพลาสติกก็ถูกพบวางอยู่ด้านหน้าศพของเธอ”
บิลหยุดเล่าชั่วครู่ เขาไม่อยากจะพูดสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปเลย
“เพจกับผมปิดคดีนี้ไม่สำเร็จ”
สเปลเบร็นหันมาทางเขา
“มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาถามขึ้น
“แล้วอะไรหล่ะที่ไม่ได้เป็นปัญหา?” บิลย้อนกลับ รีบปกป้องตัวเองอย่างไม่จำเป็นเลย “เราไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีพยาน ครอบครัวของเหยื่อไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ โรเจอร์สเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่มีสามีเก่า ไม่มีแฟนขี้หึง มันไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการที่เธอกลายมาเป็นเป้าหมายและถูกสังหารเลย คดีก็เลยโดนเก็บเข้ากรุไปในทันที”
บิลรู้สึกถึงความเงียบงัน ความคิดในแง่ลบถาโถมเข้ามาในสมองของเขา
“อย่าคิดแบบนั้น” เมอเรดิธพูดในเสียงที่อ่อนโยนในแบบที่ไม่ใช่ลักษณะของเขา “มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ยังไงซะ คุณก็ไม่สามารถจะหยุดการฆาตกรรมรายใหม่ได้หรอก”
บิลรู้สึกขอบคุณกับคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างแรง ทำไมเขาถึงไขคดีนั้นไม่สำเร็จนะ? ทำไมไรล์ลี่ถึงแก้ปมไม่ได้นะ? มันก็มีหลายครั้งในอาชีพเหมือนกันที่เขารู้สึกใบ้รับประทาน
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเมอเรดิธก็ดังขึ้น และเขากดรับสาย
เกือบจะเป็นสิ่งแรกที่เขาเอ่ยออกมา คือคำว่า “ตายห่าแล้ว”
เค้าพูดซ้ำๆอีกหลายครั้ง และถามกลับว่า “คุณแน่ใจนะว่าเป็นเธอ?” เขาหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่ง “มีการติดต่อเรื่องเงินค่าไถ่มาแล้วรึยัง”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปนอกห้องประชุม ปล่อยให้สามหนุ่มนั่งอยู่ในความเงียบด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็กลับเข้ามา ดูแก่ลงไปเลย
“สุภาพบุรุษทั้งหลาย เราอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วตอนนี้” เขาประกาศ “เราเพิ่งได้รับการยืนยันตัวตนของเหยื่อรายเมื่อวานนี้ เธอชื่อ รีบ้า ฟราย”
บิลอ้าปากค้างราวกับว่าเขาเพิ่งโดนอัดเข้าที่หน้าท้อง เขาเห็นว่าสเปลเบร็นก็ช็อคไปเหมือนกัน แต่ฟลอเรสนั้นยังดูงุนงงสับสน
“ผมควรจะต้องรู้มั้ยว่าเธอเป็นใคร” ฟลอเรสเอ่ยถาม
“ชื่อกลางคือ นิวโบร” เมอเรดิธอธิบาย “บุตรสาวของท่านวุฒิสมาชิก มิช นิวโบร – ผู้ซึ่งอาจจะได้เป็นผู้ว่าราชการของรัฐเวอร์จิเนียคนต่อไป”
ฟลอเรสถอนหายใจเฮือก
“ผมไม่เคยได้ยินเลยนะว่าเธอหายตัวไป” สเปลเบร็นเอ่ยออกมา
“มันไม่ได้ถูกรายงานอย่างเป็นทางการ” เมอเรดิธตอบ “พ่อของเธอได้รับการติดต่อไปแล้ว และ แน่นอน เขาคิดว่ามันต้องเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องทางการเมือง หรือเรื่องส่วนตัว หรือทั้งสองอย่าง ไม่ได้สนว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกันนี้เคยเกิดขึ้นกับเหยื่ออีกรายหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน”
เมอเรดิธส่ายหัว
“ท่านวุฒิสมาชิกเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนี้มาก” เขาเสริม “พายุนักข่าวกำลังจะโหมลงมาแล้ว ท่านต้องจี้พวกเราเหมือนไฟลนก้นแน่นอน”
หัวใจบิลหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเกลียดความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขาจะหนีมันไม่พ้น แต่นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้
ความเงียบงันแผ่เข้าปกคลุมห้อง
ในที่สุด บิลกลืนน้ำลายก่อนพูด
“เราต้องการทีมช่วยเหลือ” เขาเอ่ย
เมอเรดิธหันไปทางเขาและบิลก็ประสานเข้ากับสายตาที่จับจ้องเขาเขม็ง ทันใดนั้น หน้าของเมอเรดิธก็ขมวดไปด้วยความกังวลและไม่เห็นด้วย เขารู้แน่นอนว่าบิลกำลังคิดจะทำอะไร
“เธอยังไม่พร้อม” เมอเรดิธตัดบท รู้ทันว่าบิลสื่อว่าให้เรียกตัวเธอกลับมา
บิลถอนหายใจ
“ท่านครับ” เขาเริ่ม “เธอรู้จักคดีนี้ดีกว่าทุกคน แล้วเธอก็มีไหวพริบดียิ่งกว่าใคร”
หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ บิลพูดต่อในสิ่งที่เขาคิด
“ผมไม่คิดว่าเราจะทำได้โดยไม่มีเธอ”
เมอเรดิธเคาะปากกาลงบนกระดาษสองสามครั้ง ราวกับกำลังขอให้ตัวเขานั้นหายตัวไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้
“มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาด” เขากล่าว “และถ้าเธอรับมันไม่ไหว มันคือความผิดของคุณ” เขาหายใจทิ้งอีกครั้ง “โทรตามเธอมา”
บทที่ 3
เด็กสาววัยรุ่นที่มาเปิดประตูนั้นทำหน้าราวกับจะกระแทกประตูใส่หน้าของบิล แต่เธอก็หมุนตัวกลับแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งประตูเปิดค้างไว้
บิลเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน
“สวัสดี เอพริล” เขาพูดออกมาแบบอัตโนมัติ
ลูกสาวหน้าบูดตัวแสบวัย 14 ปี ที่ได้ผมสีเข้มกับตาสีน้ำตาลอ่อนจากแม่มาไม่ตอบอะไรเขา อยู่ในชุดเสื้อทีเชิร์ตตัวโคร่งหัวเหอยุ่งเหยิง เอพริลเดินเลี้ยวเข้ามุมแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ไม่สนใจกับสิ่งรอบตัวนอกจากหูฟังกับโทรศัพท์มือถือ
บิลยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะต้องทำเช่นไร เมื่อตอนที่เขาโทรหาไรล์ลี่ เธอตกลงให้เขามาหาได้แม้ว่าจะยังดูลังเลอยู่ซักหน่อย หรือว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว?
บิลกวาดตามองไปรอบๆในขณะที่เขาขยับเข้ามาในตัวบ้านที่มีแสงทึมๆ เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่นและเห็นว่าทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนลักษณะของไรล์ลี่ หากแต่เขาก็สังเกตเช่นกันว่ามู่ลี่ที่ดึงลงมาปิด คราบฝุ่นเป็นแผ่นที่เกาะบนเฟอร์นิเจอร์นั่นไม่เหมือนกับนิสัยของเธอเลย บนชั้นวางหนังสือเขามองเห็นนิยายปกอ่อนระทึกขวัญใหม่เอี่ยมที่เขาซื้อให้เธอในช่วงพักงานหวังให้เธอไม่ต้องไปคิดมากกับปัญหา วางเรียงรายอยู่เป็นแถว ไม่มีเล่มไหนโดนแกะออกอ่านเลย
เขารู้สึกหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น นี่มันไม่เหมือนไรล์ลี่ที่เขารู้จัก เมอเรดิธจะพูดถูกรึเปล่านะ? เธอต้องการเวลาพักมากกว่านี้รึเปล่า? เขากำลังตัดสินใจผิดที่มาขอให้เธอช่วยตอนที่เธอยังไม่พร้อมรึเปล่า?
บิลรวบรวมสติพร้อมกับเดินลึกเข้าไปในตัวบ้านที่มืดทึบ และขณะที่เขาเดินเลี้ยวเข้ามุม เขาก็พบไรล์ลี่อยู่คนเดียวในห้องครัว นั่งอยู่ที่โต๊ะฟอร์มิก้าในชุดคลุมอยู่บ้านกับรองเท้าแตะ มีถ้วยกาแฟวางอยู่ตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นและเขาก็เห็นเสี้ยวหนึ่งของความอับอายราวกับเธอลืมไปว่าเขาจะมาหา แต่เธอก็กลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มบางๆพร้อมกับลุกขึ้น
เขาเดินเข้าไปกอดเธอ และเธอก็กอดตอบเขาหลวมๆ เธอดูเตี้ยกว่าเขานิดหน่อยในรองเท้าแตะ เธอผอมลงไปมากและเขาก็วิตกมากยิ่งขึ้น
เขาเดินมานั่งตรงข้ามกับเธอที่โต๊ะและมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ผมเธอดูสะอาดแต่ก็ไม่ได้หวีให้เรียบร้อย และดูเหมือนเธอจะสวมรองเท้าแตะนั่นมาหลายวันแล้ว หน้าของเธอดูโทรม ซีดมาก และดูแก่ลงไปมากจากที่เขาเห็นเธอล่าสุดเมื่อห้าสัปดาห์ที่แล้ว เธอดูราวกับไปท่องนรกมา ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช่ เขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่ฆาตกรรายก่อนทำอะไรไว้กับเธอ
ไรล์ลี่เบนสายตามองไปทางอื่น แล้วทั้งสองก็นั่งอยู่ในความเงียบสงัด บิลมั่นใจว่าเขาจะรู้ว่าจะต้องพูดให้กำลังใจเธออย่างไร แต่เขากลับได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความเศร้าของเธอและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาต้องการเห็นเธอแข็งแรงกว่านี้ เหมือนเธอคนเก่า
บิลรีบซ่อนซองเอกสารเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมชิ้นใหม่บนพื้นข้างเก้าอี้ เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะเอาให้เธอดู และเริ่มแน่ใจว่าเขาทำพลาดแล้วที่มาที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการเวลามากกว่านี้ ด้วยความสัตย์จริงการได้มาเห็นเธอที่นี่ในวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจเป็นครั้งแรกว่าคู่หูอันยาวนานของเขาจะกลับมา
“กาแฟมั้ย” เธอถาม บิลรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของเธอ
เขาส่ายหัว เธอดูเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตอนที่เขาไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลและแม้ว่าจะหลังจากที่เธอกลับมาบ้านแล้ว เขาก็ยังเป็นกังวลกับเธอ เขาเคยสงสัยว่าเธอจะดึงตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ในก้นบึ้งของความมืดมิดอันยาวนาน มันดูไม่ใช่เธอเลย เธอเคยดูไร้เทียมทานไม่ว่าในคดีไหน มีบางอย่างเกี่ยวกับคดีที่แล้ว เจ้าฆาตกรรายที่แล้ว มันดูแตกต่างไป บิลเข้าใจอย่างที่สุด เจ้าฆาตกรรายนั้นมันโรคจิตบิดเบี้ยวที่สุดที่เขาเคยประสบพบเจอมา – และนั่นก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากเลยทีเดียว
ขณะที่เขาพินิจพิเคราะห์เธอนั้น เขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง เธอดูสมวัยแล้วตอนนี้ เธออายุ 40 ปี เท่ากันกับเขา แต่เมื่อก่อนตอนที่ยังปฏิบัติงานอยู่อย่างกระตือรือร้นและอยู่ไม่สุข เธอดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปีเลย ผมสีเข้มของเธอเริ่มถูกแซมด้วยผมขาวแล้ว แต่อย่างว่าละ ผมของเขาก็เปลี่ยนสีเหมือนกัน
ไรล์ลี่ตะโกนเรียกลูกสาว “เอพริล!”
ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไรล์ลี่เรียกต่อไปอีกหลายรอบ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับมา
“อะไร?” เอพริลตอบกลับมาจากห้องนั่งเล่นด้วยเสียงหงุดหงิดแบบสุดๆ
“วันนี้มีเรียนกี่โมง?”
“แม่ก็รู้นี่”
“แม่ถามก็แค่ตอบมา โอเคมั้ย”
“แปดโมงครึ่ง”
ไรล์ลี่ขมวดคิ้ว ดูรู้สึกแย่ เธอเงยหน้ามองบิล
“เธอตกภาษาอังกฤษ โดดเรียนบ่อยเกินไป ฉันพยายามจะขุนเธอกลับขึ้นมา”
บิลส่ายหัว เข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีทีเดียว ชีวิตเจ้าหน้าที่พิเศษมันก็สร้างปัญหากับชีวิตส่วนตัวให้พวกเขาแบบนี้แหละ และครอบครัวก็คือสิ่งที่โดนกระทบใหญ่หลวงที่สุด
“ผมเสียใจด้วย” เขากล่าวออกมา
ไรล์ลี่ยักไหล่
“เธออายุ 14 และเธอก็เกลียดฉัน”
“นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“ฉันเกลียดทุกคนตอนอายุ 14” เธอบอก “คุณไม่เป็นเหรอ?”
บิลไม่ตอบ นึกภาพไรล์ลี่ตอนเกลียดทุกคนแทบไม่ออก
“รอดูตอนลูกชายคุณอายุเท่านั้นก็ละกัน” ไรล์ลี่บอกเขา “พวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้วนะ ฉันลืม”
“แปด กับ สิบขวบ” บิลตอบแล้วยิ้มออกมา “ท่าทีที่แม็คกี้เป็นอยู่ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้มีส่วนร่วมในชีวิตพวกลูกรึเปล่าเมื่อถึงตอนที่พวกเขาอายุเท่ากับเอพริล”
ไรล์ลี่เอียงคอและมองเขาด้วยความเป็นห่วง เขาคิดถึงหน้าตาห่วงหาอาทรแบบนี้มาซักพักแล้ว
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม
เขามองไปที่อื่น ไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง
“นั่นคุณซ่อนอะไรอยู่บนพื้นน่ะ?” เธอถามขึ้น
บิลกวาดตามองด้านล่างแล้วมองกลับขึ้นมายิ้มๆ แม้แต่ในสภาพแบบนี้ เธอก็ไม่เคยให้มีอะไรคลาดสายตาได้จริงๆ
“ผมไม่ได้ซ่อนอะไร” บิลบอก พร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาวางลงบนโต๊ะ “แค่บางอย่างที่ผมอยากปรึกษากับคุณ”
ไรล์ลี่ยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ดีว่าเขามาเพื่ออะไร
“เอามาให้ฉันดูหน่อย” เธอตอบเขา พร้อมเสริมขณะที่ตวัดสายตามองไปที่เอพริล “เร็วๆ ออกไปคุยกันข้างนอก ฉันไม่อยากให้เธอเห็น”
ไรล์ลี่ถอดรองเท้าแตะและเดินนำบิลออกไปที่สนามหลังบ้านด้วยเท้าเปล่า พวกเขานั่งลงบนโต๊ะไม้ปิคนิคเก่าๆที่อยู่มาก่อนที่ไรล์ลี่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยซ้ำ บิลจ้องไปรอบๆสนามหญ้าเล็กที่มีต้นไม้อยู่ต้นเดียว มีไม้อยู่ทุกด้านทุกมุม ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ใกล้เมือง
สันโดษเกินไป เขาคิดในใจ
เขาไม่เคยคิดว่าที่นี่เหมาะกับไรล์ลี่เลยแม้แต่น้อย บ้านหลังเล็กสไตล์คอกม้านั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองถึงสิบห้าไมล์ สภาพเก่าและดูธรรมดามาก มันอยู่หลบจากถนนเส้นรอง ไม่มีอะไรอยู่ในระยะสายตาเลยนอกจากป่าและทุ่งเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าชีวิตคนชานเมืองจะเหมาะกับเธอหรอกนะ เขาก็คิดภาพเธออยู่ในวงสังสรรค์ปาร์ตี้ค็อกเทลไม่ออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะสามารถขับรถไปเฟร็ดดริกส์เบิร์กส์แล้วต่อรถไฟไปควอนติโก้ได้เมื่อเธอกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเธอยัง สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้
“ไหนคุณมีอะไร เอามาดูซิ” เธอเปิดประเด็น
เขากางรายงานและรูปถ่ายออกมาวางเต็มโต๊ะ
“จำคดีที่เมืองแด็กเก็ตต์ได้มั้ย” เขาถาม “คุณพูดถูก ไอ้ฆาตกรมันยังไม่จบแค่นั้น”
เขาเห็นตาเธอเบิกตาโพลงขณะที่กำลังพิจารณาภาพถ่ายพวกนั้น ความเงียบเข้าครอบงำขณะที่เธอศึกษาเอกสารอย่างจริงจัง ทำให้เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการที่จะนำเธอกลับมา – หรืออาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่หวนกลับมาอีกเลย
“คุณคิดว่ายังไง?” และแล้วเขาก็ถามขึ้นมา
ยังคงเงียบ เธอไม่เงยหน้าออกจากเอกสารเลย
เธอมองกลับขึ้นมาในที่สุด และเมื่อเธอเงยหน้าเขาก็ต้องตกใจที่เห็นน้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาของเธอ บิลไม่เคยเห็นเธอร้องไห้มาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่ในคดีที่โหดร้ายที่สุดหรือแม้แต่ตอนตรวจศพ ชัวร์แล้วว่านี่ไม่ใช่ไรล์ลี่ที่เขาเคยรู้จัก ไอ้ฆาตกรนั่นต้องทำอะไรไว้กับเธอแน่ อะไรที่มากกว่าสิ่งที่เขารู้