วั๊นซ์ กอน - Блейк Пирс 3 стр.


เธอสะอื้นน้ำตา

“ฉันกลัว บิล” เธอบอก “ฉันกลัวมาก ตลอดเวลา กลัวทุกอย่าง”

บิลรู้สึกหัวใจหล่นลงไปที่เท้าเห็นเธอเป็นแบบนี้ เค้าประหลาดใจว่าไรล์ลี่คนเดิมหายไปไหน คนเดียวที่เขายอมรับว่าแกร่งยิ่งกว่าตัวเขา ที่พึ่งพิงที่เขาไปหาเสมอในยามมีปัญหา เขาคิดถึงเธอมากกว่าคำใดๆ

“มันตายไปแล้ว ไรล์ลี่” เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้ “มันทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”

เธอส่ายหน้า

“คุณวางใจไม่ได้หรอก”

“ได้สิ” เขาตอบ “พวกเขาเจอศพมันหลังเหตุการณ์ระเบิด”

“แต่พวกเขาก็ระบุไม่ได้ว่าศพเป็นของใคร” เธอว่าต่อ

“คุณก็รู้ว่าเป็นศพมันนั่นแหละ”

เธอก้มหน้าพร้อมปิดหน้าด้วยมือหนึ่งขณะที่ร้องไห้ เขาเอื้อมมือไปจับมืออีกข้างของเธอ

“นี่เป็นคดีใหม่” เขาบอก “มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดกับคุณ”

เธอส่ายหัว

“นั่นไม่ใช่ประเด็น”

เธอยกมือขึ้นช้าๆทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ มองหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยื่นเอกสารคืนเขา

“ฉันขอโทษด้วย” เธอกล่าวพร้อมก้มหน้าส่งเอกสารคืนเขาด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันว่าคุณควรกลับไปก่อน” เธอกล่าวต่อ

บิลตกใจ เสียใจ และเอื้อมมือไปรับเอกสารคืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาในรูปนี้

เขานั่งต่ออีกครู่หนึ่ง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเอง ในที่สุด เขาลูบมือเธออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมเดินกลับ ผ่านออกไปในตัวบ้าน เอพริลยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หลับตาและพยักหน้าไปกับเสียงเพลงที่เธอฟัง

*

ไรล์ลี่ยังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะปิคนิคหลังบิลกลับออกไปแล้ว

ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วซะอีก เธอคิดในใจ

เธออยากจะให้บิลเห็นว่าเธอโอเคแล้วจริงๆนะ แล้วเธอก็คิดว่าเธอคงแสดงให้เขาเห็นได้จริงๆ มันก็โอเคน่ะตอนที่นั่งอยู่ในครัวคุยกันเรื่องจิปาถะ แล้วพอตอนที่ออกไปด้านนอกที่เธอได้ดูเอกสารเธอก็คิดว่าเธอน่าจะรับได้เหมือนกัน ยิ่งกว่ารับได้นะจริงๆแล้ว เธอหมกมุ่นในการอ่านเอกสารเลยหละ ความอยากกลับไปทำงานมันกลับมา เธออยากกลับออกไปปฏิบัติหน้าที่ เธอคิดจัดแบ่งเรื่องราวอยู่ในหัว แน่นอน ก็คิดถึงคดีฆาตกรรมพวกนั้นในรายละเอียดที่เกือบจะเหมือนกันให้เป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องแก้ คิดเกือบจะตามหลักวิชาการ เป็นเกมส์ท้าทายกึ๋น นั่นเธอก็รับได้เหมือนกัน นักบำบัดบอกเธอว่าจะต้องรับมือกับมันให้ได้หากคิดอยากจะกลับไปทำงาน

แต่แล้วก็ไม่รู้เพราะอะไร ไอ้เจ้าจิ๊กซอว์พวกนั้นมันกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น – โศกนาฏกรรมของปีศาจที่ใช้ความรุนแรงคร่าชีวิตหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเจ็บปวดและทรมานแบบหาที่เปรียบไม่ได้ถึงสองคน และนั่นทำให้เธออยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า: พวกเธอโดนกระทำแย่เท่ากับที่ฉันโดนมั้ย?

ตอนนี้ตัวเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นวิตก เช่นเดียวกันกับความรู้สึกอายและละอายแก่ใจ บิลเป็นคู่หูและเพื่อนสนิทของเธอ เธอติดค้างเขาไว้มาก เขาอยู่เคียงข้างเธอตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในขณะที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอคงผ่านช่วงเวลาในโรงพยาบาลนั้นมาไม่ได้หากไม่มีเขา สิ่งสุดท้ายที่เธออยากให้เกิดคือการที่เขาได้มาเห็นเธอในสภาพสิ้นหวังแบบนี้

เธอได้ยินเสียงเอพริลตะโกนมาจากประตูหลัง

“แม่ เราต้องกินข้าวเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่งั้นหนูไปสายแน่”

เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า “ก็หัดทำกินเองมั่งสิ!”

แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เธอเหนื่อยมานานกับการทำสงครามกับเอพริล ตอนนี้เธอไม่อยากจะเอาชนะแล้ว

เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ดึงกระดาษเช็ดมือออกมาจากม้วนเพื่อเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกเพื่อเตรียมทำใจทำกับข้าวต่อ ไรล์ลี่พยายามนึกถึงคำพูดของนักบำบัด: แม้แต่หน้าที่ซ้ำซากจำเจยังต้องการการรวบรวมสติ อย่างน้อยก็เพียงสักครู่หนึ่ง เธอต้องทำใจที่จะทำอะไรด้วยการเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆทีละก้าว

เริ่มแรกคือหยิบของออกมาจากตู้เย็น – ตามด้วยถาดไข่, ถุงใส่เบคอน, ถาดเนย, ขวดแยม, เอพริลชอบกินแยมในขณะที่ตัวเธอนั้นไม่ชอบ ขั้นตอนก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงการวางเบคอนหกแผ่นลงบนกระทะเหนือเตาแก๊ส และเธอก็เปิดแก๊ส

เธอโซเซถอยหลังไปหลังจากที่เห็นเปลวไฟสีเหลืองฟ้า เธอหลับตา แล้วเรื่องเก่าๆก็โถมกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง

ไรล์ลี่นอนอยู่ในช่องใต้พื้นบ้าน พื้นที่แคบๆ ในห้องขังที่สร้างแบบสุกเอาเผากิน คบเพลิงน้ำมันโพรเพนเป็นแสงสว่างเดียวที่เธอเคยได้เห็น เวลาส่วนมากเธอใช้ไปกับความมืดมิด ด้านล่างพื้นของช่องแคบใต้บ้านนี้เป็นดินแดง แผ่นกระดานเหนือศีรษะเธอมันอยู่ต่ำมากจนเธอแทบจะนั่งยองๆไม่ได้

ความมืดมิดปกคลุมทั่วไปหมด เธอมองไม่เห็นเขาแม้กระทั่งตอนที่เขาเปิดประตูเล็กๆนั่นและคืบผ่านเข้ามาในช่องแคบนี้ แต่เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงคำรามออกจมูกของเขา เขาปลดล็อคเพื่อเปิดห้องขังพร้อมกับปีนเข้ามาภายใน

และแล้วก็จะมาจุดคบเพลิงตรงนั้น เธอพอจะมองเห็นหน้าอันอัปลักษณ์และโหดเหี้ยมของเขาข้างแสงไฟนั่น เขาชอบเอาจานอาหารบ้าๆมายั่วเธอ หากเธอเอื้อมมือจะไปหยิบแล้วล่ะก็ เธอก็จะเจอกับคบเพลิงที่เขาจะสาดมา เธอจะไม่ได้กินอะไรหากไม่ยอมโดนไฟลวก…


ไรล์ลี่เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพมันจะดูเลือนลางหากเธอลืมตา แต่เธอก็ไม่สามารถเอาความทรงจำพวกนี้ออกไปจากมโนสำนึกได้ เธอจัดการอาหารเช้าต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ อดรินาลีนตอนนี้แผ่เต็มทั่วร่าง ในขณะที่กำลังจะเอาจานอาหารไปวางที่โต๊ะกินข้าว ลูกสาวก็ตะโกนเข้ามาอีกรอบ

“แม่ อีกนานมั้ยเนี่ย?”

เธอสะดุ้งจนทำจานหลุดมือหล่นลงแตกกระจาย

“เกิดอะไรขึ้น?” เอพริลตะโกนเข้ามาแล้วมาโผล่อยู่ข้างเธอ

“ไม่มีอะไร” ไรล์ลี่ตอบ

เธอจัดการทำความสะอาด ระหว่างที่เธอและเอพริลนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันนั้น ความเงียบจากอาการต่อต้านก็เข้าปกคลุมเป็นเรื่องปกติ ไรล์ลี่เคยอยากจะจบไอ้วัฏจักรแบบนี้เลยเคยลองพูดแทรกความเงียบขึ้นมาหาเอพริลว่า เอพริล นี่แม่เองนะ และแม่ก็รักหนูนะ แต่เธอเคยลองมาหลายครั้งแล้ว และมันก็ทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ลูกสาวของเธอเกลียดเธอ และเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไม – หรือจะจบมันได้ยังไง

“วันนี้ลูกจะทำอะไรบ้าง” เธอถามเอพริล

“แม่ว่าไงหล่ะ” เอพริลตอบสะบัด “ก็ไปเรียนน่ะสิ”

“แม่หมายถึงหลังจากนั้น” ไรล์ลี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบและห่วงใย “แม่เป็นแม่ของลูก แม่อยากจะรู้ มันเป็นเรื่องปกติ”

“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชีวิตเราที่ปกติ”

ทั้งสองกินข้าวต่อภายใต้ความเงียบไปอีกอึดใจ

“ลูกไม่เคยเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย” ไรล์ลี่พูดขึ้น

“แม่ก็ไม่เคยเล่าอะไรเหมือนกัน”

และนั่น ก็สิ้นสุดความหวังใดๆว่าแม่ลูกจะมีบทสนทนากันต่อจากนี้

ก็ยุติธรรมดีแล้ว ไรล์ลี่คิดอย่างขมขื่น มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มากกว่าที่เอพริลคิดซะอีก เธอไม่เคยบอกเอพริลเกี่ยวกับงานของเธอเลย ไม่ว่าจะคดีต่างๆหรืออะไร เธอไม่เคยบอกเอพริลเรื่องที่เธอถูกจับตัวไป หรือที่เธอเข้าโรงพยาบาล หรือเรื่องที่ทำไมเธอถึงอยู่ในช่วง “พักร้อน” ตอนนี้ สิ่งที่เอพริลรู้มีเพียงแค่ว่าเธอต้องไปอยู่กับพ่อตลอดเวลาในช่วงนั้น และเธอก็เกลียดพ่อของเธอมากกว่าที่เกลียดไรล์ลี่ซะอีก แต่ไม่ว่าไรล์ลี่อยากจะเล่าให้เธอฟังแค่ไหน เธอคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดแล้วสำหรับเอพริลที่ไม่ต้องรู้ว่าแม่ของเธอประสบกับอะไรมา

ไรล์ลี่แต่งตัวขับรถไปส่งเอพริลที่โรงเรียน ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย พอเอพริลลงจากรถ เธอก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “แล้วเจอกันตอนสิบโมง”

เอพริลโบกมือส่งๆมาให้เธอแล้วเดินจากไป

ไรล์ลี่ขับรถไปที่ร้านขายกาแฟใกล้ๆ ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรของเธอไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่สาธารณะ แต่เธอก็รู้ดีว่าทำไมนั่นถึงเป็นสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำให้ได้ ร้านกาแฟเป็นร้านเล็กๆลูกค้าไม่เยอะแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้าๆแบบนี้ ทำให้เธอไม่รู้สึกเหมือนโดนคุกคามซักเท่าไหร่

ระหว่างที่เธอนั่งจิบคาปูชิโน่อยู่นั้นเอง เธอก็นึกไปถึงคำขอร้องของบิลอีก ให้ตายเหอะ นี่มันหกอาทิตย์มาแล้ว มันต้องเปลี่ยนได้แล้ว ตัวเธอ ต้องเปลี่ยนได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำยังไง

แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เธอรู้แล้วว่าเธอต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก

บทที่ 4

แสงสีขาวจากคบเพลิงน้ำมันโพรเพนนั้นถูกส่ายไปมาอยู่ข้างหน้าไรล์ลี่ เธอต้องหลบหน้าหลบหลังเพื่อหนีให้พ้นจากการโดนลวก แสงสว่างจ้าทำให้เธอมองอะไรอย่างอื่นไม่เห็น รวมถึงตอนนี้เธอก็มองไม่เห็นหน้าคนที่จับตัวเธอมาแล้วด้วย ขณะคบเพลิงนั้นถูกส่ายไปมามันก็ทิ้งเศษลูกไฟไว้ในอากาศ

“พอแล้ว!” เธอตะโกน “พอได้แล้ว!”

เสียงของเธอแหบพร่าไปหมดจากการตะโกน เธอก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอจะเปลืองน้ำลายทำไม เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่หยุดทรมานเธอจนกว่าเธอจะตายนั่นแหละ

ทันใดนั้น เขาหยิบแตรอากาศขึ้นมาบีบเข้าใส่ในรูหูของเธอ

เสียงแตรรถดังลั่น ไรล์ลี่สะบัดความคิดกลับมาปัจจุบัน ในขณะที่มองออกไปเห็นไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยาวเป็นหางว่าวติดอยู่ด้านหลังรถของเธอ เธอจึงเหยียบคันเร่ง

ฝ่ามือยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไรล์ลี่ไล่ความทรงจำออกจากหัวพร้อมกับเตือนตัวเองว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอกำลังจะไปเยี่ยม

มารี เซย์ลส์ ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากเหตุการณ์อันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เกือบคร่าชีวิตเธอครั้งนั้น เธอตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ภาพความจำเก่าๆกลับมาทำร้ายได้ เธออุตส่าห์จดจ่ออยู่กับการขับรถมาได้ตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วเชียว ซึ่งเธอก็คิดไปว่าเธอทำได้ดีแล้ว

ไรล์ลี่ขับรถเข้าเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านบ้านทรงวิคตอเรียหรูหรา แล้วมาหยุดจอดที่หน้าบ้านเลขที่ที่มารีได้บอกไว้ทางโทรศัพท์ – หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์อิฐมอญสีแดงที่มีแบบเว้าของหน้าต่างยื่นเป็นเหลี่ยมออกมาสวยงาม เธอนั่งต่อในรถอีกชั่วครู่ ไตร่ตรองอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ในขณะที่พยายามรวบรวมความกล้า

เธอลงจากรถในที่สุด ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดก็รู้สึกดีใจที่มารีออกมาต้อนรับเธอที่หน้าประตู ในชุดเรียบๆแต่ดูสวยสง่า มารียิ้มแบบซีดๆ หน้าของเธอดูเหนื่อยและล้า ดูจากถุงใต้ดวงตาเธอแล้ว ไรล์ลี่แน่ใจว่าเธอคงจะผ่านการร้องไห้มาแน่และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เธอกับมารีเจอหน้ากันบ่อยผ่านวิดีโอแชทในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่จะปกปิดกันและกันได้หรอก

เมื่อได้กอดกัน ไรล์ลี่รู้สึกทันทีว่ามารีไม่ได้สูงและแข็งแรงอย่างที่เธอนึกภาพไว้ แม้ว่าจะสวมรองเท้าส้นสูงมารีนั้นก็ยังตัวเล็กกว่าเธอ ร่างเธอบอบบางและตัวก็เล็กนิดเดียว นี่ต่างหากที่ทำให้ไรล์ลี่ประหลาดใจ เธอกับมารีได้คุยกันบ่อยมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอตัวจริงของกันและกัน ร่างเล็กๆของมารียิ่งทำให้เธอดูกล้าหาญมากยิ่งขึ้นที่สามารถเอาตัวรอดจากสิ่งที่เธอประสบมาได้

ไรล์ลี่มองชมบริเวณรอบตัวของเธอ ขณะที่เธอและมารีเดินเข้าไปที่ห้องรับประทานอาหาร สภาพห้องนั้นสะอาดหมดจดมากและตกแต่งอย่างมีรสนิยม โดยปกติแล้วนี่คงเป็นที่พำนักอันแสนสุขของสาวโสดที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากแต่มารีนั้นปิดม่านมิดชิดทำให้ห้องไม่ค่อยสว่าง บรรยากาศมันดูอึดอัดอย่างประหลาด ไรล์ลี่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับนักหรอกว่ามันทำให้เธอนึกไปถึงบ้านของตัวเอง

มารีจัดเตรียมอาหารเที่ยงเบาๆไว้แล้วบนโต๊ะรับประทานอาหารที่เธอกับไรล์ลี่กำลังจะนั่งลงทานอาหารกัน ทั้งสองนั่งกันเงียบๆอย่างอึดอัด ไรล์ลี่นั้นเหงื่อแตกอย่างไม่รู้สาเหตุ การได้พบกับมารีทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างมันหวนกลับมา

“อืม…คุณรู้สึกยังไงบ้าง” มารีถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ที่ได้ออกมาเจอโลกภายนอก”

ไรล์ลี่ยิ้ม มารีนั้นย่อมรู้ดีกว่าใครว่ามันต้องใช้พลังมากแค่ไหนในการขับรถออกมาวันนี้

“ก็โอเคนะ” ไรล์ลี่ตอบ “จริงๆแล้วก็ดีเลยแหละ ฉันแค่เจอช่วงไม่ดีแค่รอบเดียว จริงๆ”

มารีพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“คุณก็ทำสำเร็จแล้วนะ” มารีตอบ “และมันก็กล้าหาญมาก”

กล้าหาญเหรอ ไรล์ลี่คิดในใจ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะใช้สาธยายตัวเองเลย อาจจะเคยเป็น ครั้งนึง ตอนที่เธอยังปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษอยู่ เธอจะกลับไปเรียกตัวเองแบบนั้นอีกได้มั้ยนะ?


“แล้วคุณหล่ะ” ไรล์ลี่ถามกลับ “ออกไปข้างนอกบ่อยมั้ย”

มารีเงียบไป

“คุณไม่ออกนอกบ้านเลยใช่รึเปล่า” ไรล์ลี่ถามอีก

มารีส่ายหน้า

ไรล์ลี่เอื้อมมือไปกุมข้อมือเธอด้วยความเห็นใจ

“คุณต้องลองนะ มารี” เธอให้กำลังใจ “ถ้าคุณปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ มันก็เท่ากับว่าคุณยังถูกมันกักขังเอาไว้อยู่”

มารีปล่อยก้อนสะอื้นออกมาจากลำคอ

“ฉันขอโทษ” ไรล์ลี่เอ่ย

“ไม่เป็นไรหรอก คุณพูดถูก”

ไรล์ลี่สังเกตมารีอีกครู่หนึ่งในระหว่างทั้งสองรับประทานอาหาร แล้วบรรกาศก็ตกอยู่ในความเงียบงันยาวนาน เธอก็อยากจะคิดนะว่ามารีนั้นเป็นปกติดีแล้ว แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามารียังดูเปราะบางจนน่ากังวลเหลือเกิน มันทำให้เธออดคิดถึงตัวเองไม่ได้ “นี่ตัวเธอมีสภาพแย่แบบนี้เหมือนกันรึเปล่านะ”

ไรล์ลี่นึกสงสัยอยู่เงียบๆว่ามันเป็นการดีรึเปล่าที่จะปล่อยให้มารีใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง อาการเธอจะดีขึ้นมั้ยหากมีสามีหรือมีแฟนมาอยู่ด้วย เธอเก็บความสงสัยนี้ไว้ แต่แล้วเธอก็กลับสงสัยเรื่องเดียวกันกับตัวเอง ไรล์ลี่รู้คำตอบสำหรับเธอทั้งสองดี ว่าคงไม่ เธอทั้งคู่ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์หรือความคิดที่จะสานสัมพันธ์กับใคร มันคงจะยิ่งกลายเป็นภาระ

“ฉันเคยขอบคุณคุณรึเปล่า” มารีถามขึ้นทำลายความเงียบ

ไรล์ลี่ยิ้ม เธอเข้าใจดีว่ามารีหมายถึงที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้

“มากมายหลายครั้ง” ไรล์ลี่ตอบ “ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องทำเลย จริงๆ”

มารีใช้ส้อมจิ้มอาหารในจาน

“แล้วฉันเคยขอโทษคุณรึเปล่า”

ไรล์ลี่ประหลาดใจ “ขอโทษเหรอ เรื่องอะไร”

มารีพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ถ้าคุณไม่ไปช่วยฉันออกมา คุณก็คงไม่ถูกมันจับตัวไว้”

ไรล์ลี่บีบมือมารีเบาๆ

“มารี ฉันทำหน้าที่ของฉัน คุณไม่ควรจะต้องมารู้สึกผิดกับสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของคุณ เท่านี้คุณก็มีอะไรให้ต้องจัดการมากพออยู่แล้ว”

มารีพยักหน้าอย่างรับฟัง

“แค่จะลุกออกจากเตียงทุกวันยังเป็นเรื่องยากเลย” เธอยอมรับ “ฉันเดาว่าคุณคงสังเกตเห็นว่าฉันอยู่แบบมืดๆ ไม่ว่าแสงจากอะไรก็ทำให้ฉันนึกถึงคบเพลิงของมัน ฉันทำไม่ได้แม้กระทั่งจะดูทีวีหรือฟังเพลง ฉันกลัวว่าจะมีใครแอบย่องมาข้างหลังโดยที่ฉันไม่ได้ยินเสียง ไม่ว่าเสียงอะไรก็ทำให้ฉันผวาได้แล้ว”

มารีเริ่มร้องไห้เงียบๆ

ฉันไม่สามารถจะมองโลกใบนี้ได้เหมือนเดิมอีก ไม่อีกแล้ว มันมีความชั่วร้ายอยู่ในโลกภายนอก รอบๆตัวเรา ฉันไม่รู้เลย คนเราจะสามารถกระทำเรื่องชั่วช้าได้ขนาดนี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะกลับมาไว้ใจใครอีกได้ยังไง”

ในขณะที่มารีร้องไห้ ไรล์ลี่นั้นอยากให้ความมั่นใจกับเธอเหลือเกิน บอกกับเธอว่าเธอนั้นคิดผิดแล้ว แต่อีกใจนึงไรล์ลี่เองก็ไม่มั่นใจว่าเธอนั้นคิดถูก

และแล้ว มารีก็มองหน้าเธอ

“วันนี้คุณมาที่นี่ทำไม” เธอถามขึ้นมาซึ่งๆหน้า

ไรล์ลี่นั้นไม่ทันตั้งตัวกับคำถามตรงไปตรงมาของเธอ – และความจริงแล้วเธอเองก็ไม่รู้เหตุผลที่เธอมาเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” เธอตอบ “ฉันแค่อยากจะมาเยี่ยมคุณ มาดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง”

“มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” มารีตอบกลับ หรี่ตาลงด้วยความรู้ทัน

บางทีเธออาจพูดถูก ไรล์ลี่คิดในใจ ไรล์ลี่คิดย้อนไปถึงที่บิลมาหาเธอที่บ้าน แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่าเหตุผลที่เธอมาวันนี้จริงๆแล้วก็เพราะเรื่องคดีใหม่นั่นเอง เธอต้องการอะไรจากมารีกันนะ? คำแนะนำงั้นเหรอ? คำอนุญาต? คำพูดให้กำลังใจ? ความมั่นใจ? ใจนึงเธอก็อยากให้มารีบอกว่าเธอมันบ้า เพื่อที่จะได้ปล่อยวางและไม่ต้องไปคิดเรื่องเกี่ยวกับบิลอีก แต่บางทีอีกใจนึงของเธอก็อยากให้มารีสนับสนุนให้เธอรับมัน

ในที่สุด ไรล์ลี่ถอนหายใจ

“มีคดีใหม่น่ะ” เธอบอก “อืม ก็ไม่เชิงว่าใหม่หรอก แต่เป็นคดีเก่าที่ยังไม่ได้รับการสะสางน่ะ”

หน้าของมารีออกอาการเกร็งและเครียดขึ้น

ไรล์ลี่กลืนน้ำลาย

“แล้วคุณก็มาเพื่อถามว่าคุณควรจะทำคดีนี้มั้ยงั้นเหรอ” มารีถาม

ไรล์ลี่ยักไหล่ แต่เธอยังคงมองหน้าและค้นหาความมั่นใจและคำให้กำลังใจในดวงตาของมารี และในชั่วขณะจิตนั้นเองที่เธอรู้ซึ้งว่านี่คือจุดประสงค์แท้จริงที่เธอหวังว่าจะนำพาให้เธอมาเจอ

แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง มารีหลบตาและส่ายหน้าช้าๆ ไรล์ลี่นั้นรออย่างจดจ่อกับคำตอบ หากแต่สิ่งที่ตามมานั้นกลับเป็นความเงียบงันไม่มีที่สิ้นสุด ไรล์ลี่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวอย่างพิเศษบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายในมารี

ในความเงียบนั้น ไรล์ลี่มองไปรอบๆอพาร์ทเม้นท์ และสายตาก็หยุดอยู่ที่โทรศัพท์บ้าน เธอรู้สึกแปลกใจที่เห็นสายโทรศัพท์ถูกดึงออกจากปลั๊กกำแพง

“โทรศัพท์คุณเป็นอะไร” ไรล์ลี่ถาม

มารีดูทุกข์อย่างเห็นได้ชัด ไรล์ลี่นึกรู้ได้ทันทีว่าเธอจี้โดนจุดเข้าให้แล้ว

“มันโทรมาไม่หยุดเลย” มารีบอกในเสียงกระซิบที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“ใคร”

“ปีเตอร์สัน”

หัวใจของไรล์ลี่เต้นแรงขึ้นไปถึงคอหอย

“ปีเตอร์สันตายไปแล้ว” ไรล์ลี่ตอบกลับด้วยเสียงสั่นเทา “ฉันเป็นคนจุดไฟเผาที่นั่นเอง พวกเขาเจอศพมันด้วย”

มารีส่ายหน้า

“ที่พวกเขาเจออาจจะเป็นศพของใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ศพของมัน”

ไรล์ลี่รู้สึกได้ถึงคลื่นของความหวาดวิตก สิ่งที่เธอกลัวที่สุดกำลังถูกเรียกกลับมา

“ทุกคนบอกว่าใช่” ไรล์ลี่บอก

“แล้วคุณก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ?”

ไรล์ลี่ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่เวลาจะมาปรับทุกข์กับเธอ ที่สุดแล้วมารีก็คงแค่หลอนประสาทไปเองเท่านั้น แต่เธอจะโน้มน้าวมารีกับสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ยังไง

“มันโทรมาไม่หยุด” มารีบอกอีกครั้ง “มันโทรมาหายใจแล้วก็วางสาย ฉันรู้ว่าต้องเป็นมันแน่ๆ มันยังไม่ตาย มันยังคอยเฝ้าจับตาดูฉัน”

ไรล์ลี่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอันเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามา

“มันก็อาจเป็นแค่พวกโทรศัพท์ลามกน่ะ” เธอบอกและแสร้งทำใจเย็นไม่ตื่นเต้น “แต่ยังไงเดี๋ยวฉันจะให้ที่องค์กรตรวจสอบให้ ฉันจะบอกให้พวกเขาส่งรถลาดตระเวนมานะถ้าคุณยังกลัวอยู่ พวกเขาจะตามจากบันทึกการโทรได้”

“ไม่!” มารีบอกเสียงเฉียบ “ไม่!”

ไรล์ลี่จ้องเธอกลับด้วยสีหน้างุนงง

“ทำไมหล่ะ” เธอถาม

“ฉันไม่อยากทำให้มันโกรธ” มารีตอบด้วยเสียงเศร้าน่าเวทนา

ไรล์ลี่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดวิตก อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่านี่เป็นความคิดที่ผิดมากในการมาที่นี่วันนี้ ถ้าจะได้อะไรกลับไป ก็คงเป็นความรู้สึกที่แย่ลงกว่าเดิม เธอรู้ตัวว่าเธอคงไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องกินข้าวอันแสนอึดอัดนี้ต่อไปได้แม้เพียงอึดใจเดียว

“ฉันต้องกลับแล้ว” ไรล์ลี่บอกพร้อมพูดต่อ “ฉันขอโทษด้วย แต่ลูกสาวฉันกำลังรออยู่”

แล้วจู่ๆมารีก็ตะปบคว้าข้อมือไรล์ลี่ไว้ด้วยแรงที่ไม่รู้มาจากไหน จิกเล็บของเธอลงบนผิวไรล์ลี่

เธอจ้องกลับมา ตาสีฟ้าราวน้ำแข็งของเธอคู่นั้นมีความขึงขังจริงจังบางอย่างที่ทำให้ไรล์ลี่ชักกลัว หน้าหลอนๆนั้นทำให้เธอชาไปถึงจิตวิญญาณ

“รับทำคดีซะ” มารีสนับสนุน

ไรล์ลี่เห็นได้จากดวงตาว่ามารีนั้นกำลังสับสนเอาคดีใหม่มาปนกับคดีปีเตอร์สัน หลับหูหลับตาปนกันมั่วเป็นเรื่องเดียวกัน

“ตามหาไอ้สารเลวนั่น” เธอเสริม “แล้วฆ่ามันให้ฉัน”

บทที่ 5

ชายผู้หนึ่งเดินทิ้งระยะเล็กน้อยตามหลังหญิงสาวอย่างระวังตัว แอบมองเธอแว่บหนึ่ง เขาแสร้งทำเป็นหยิบของจิปาถะใส่ลงตะกร้าดังเช่นคนที่มาซื้อของทั่วไป รู้สึกดีใจที่ตัวเองทำตัวไม่ตกเป็นเป้าสายตาได้สำเร็จ ไม่มีใครเดาได้แน่ว่าเขามีอำนาจยังไง

แต่ก็นั่นแหละ ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจใครได้อยู่แล้ว ตอนที่ยังเด็กเขาก็เคยรู้สึกราวกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ แล้วท้ายที่สุดตอนนี้เขาสามารถทำให้ความไม่เด่นของเขากลับตกลายเป็นข้อได้เปรียบได้

แค่เพียงเมื่อครู่นี้เองที่ตัวเขายืนอยู่ข้างเธอ ห่างกันแค่ไม่ถึงสองฟุต เธอกำลังจับจดกับการเลือกแชมพูจึงไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

แต่เขารู้จักเธอดีทีเดียวหละ ว่าเธอมีชื่อว่า ซินดี้ มีสามีเป็นเจ้าของร้านขายภาพศิลปะ และทำงานอยู่ที่คลินิกรักษาฟรีซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดของเธอ ตอนนี้เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครบางคน ฟังจากเสียงแล้วคงเป็นพี่สาวเธอล่ะมั้ง เธอหัวเราะกับบางอย่างที่ใครคนนั้นคุยกับเธอ หน้าของเขาแดงขึ้นด้วยความโกรธ นึกข้องใจว่าเธอกำลังหัวเราะเขารึเปล่า เหมือนที่ผู้หญิงคนอื่นทำกับเขา ความโกรธทวีคูณขึ้น

ซินดี้นั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดกางกางขาสั้นสวมรองเท้าวิ่งออกกำลังที่ดูแล้วน่าจะมีราคาทีเดียว เขาตามดูตั้งแต่เธอวิ่งออกกำลังจากในรถ รอให้เธอวิ่งเสร็จและเดินเข้าไปซื้อของ เขารู้กิจวัตรวันว่างของเธอดี ประเดี๋ยวเธอก็จะเอาของที่ซื้อไว้กลับไปบ้าน วางส่งๆไว้ก่อนแล้วจึงไปอาบน้ำ และขับรถไปกินข้าวกลางวันกับสามี

Назад Дальше