วั๊นซ์ กอน - Блейк Пирс 4 стр.


รูปร่างสวยงามของเธอนั้นต้องขอบคุณการออกกำลังกาย เธออายุราวๆ 30 ปี แต่ผิวรอบต้นขาของเธอนั้นกลับหย่อนๆไม่ตึงอีกแล้ว เธอน่าจะต้องเคยลดน้ำหนักไม่ว่าในช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง แต่น่าจะเพิ่งเร็วๆนี้ ซึ่งเธอก็ดูจะภูมิใจกับมันอยู่

ทันใดนั้น หญิงสาวเดินลิ่วไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงินที่ใกล้ที่สุด ชายหนุ่มตกใจไม่ทันตั้งตัว เธอเลือกซื้อของเสร็จเร็วกว่าปกติ เขารีบไปต่อแถวข้างหลังเธอแทบจะผลักลูกค้าคนอื่นออกให้พ้นทาง นึกตำหนิตัวเองที่ทำเช่นนั้นอยู่ในใจ

ขณะที่พนักงานกำลังคิดเงินสินค้าของเธออยู่นั้น เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกโดยตอนนี้ยืนอยู่ใกล้เธอมาก – ใกล้ขนาดที่ได้กลิ่นจากตัวของเธอที่ตอนนี้มีแต่กลิ่นเหงื่อไคลหลังจากการวิ่งออกกำลังกาย เป็นกลิ่นที่เขานั้นหวังจะดมให้คุ้นจมูกในเวลาอันใกล้นี้ หากแต่เมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะมีอีกหนึ่งกลิ่นที่ผสมรวมเข้ามาปนกันกับกลิ่นนี้ – กลิ่นที่ทำให้เขาหลงไหลไปกับความลึกลับและน่าพิศวง

กลิ่นของความเจ็บปวดและหวาดกลัวยังไงล่ะ

ในชั่วขณะหนึ่ง ชายน่าสงสัยผู้นี้รู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นที่เขารู้สึกหวิวๆในหัว เต็มไปด้วยความตื่นเต้นรอแทบไม่ไหว

หลังชำระเงิน หญิงสาวผลักรถเข็นผ่านออกไปทางประตูกระจกอัตโนมัติและมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ

ชายหนุ่มไม่รีบร้อนจะจ่ายเงินซื้อของในมือแล้วตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องตามเธอกลับบ้าน เขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว – เคยแม้กระทั่งเข้าไปในบ้านของเธอ จัดแจงเสื้อผ้าให้เธอก็เคยมาแล้ว เดี๋ยวเขาค่อยไปเฝ้าเธออีกทีหลังเธอเลิกงาน

ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานหรอก เขานึกในใจ ไม่นานเลยจริงๆ


*


หลังจาก ซินดี้ แมคคินน่อน กลับขึ้นมาบนรถ เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่อีกอึดใจ รู้สึกสั่นๆขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอนึกไปถึงความรู้สึกแปลกๆเมื่อสักครู่ที่เธอเพิ่งรับรู้ได้จากในซูเปอร์มาร์เก็ต มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับมีคนคอยจ้องมองเธออยู่ ซึ่งมันไม่ใช่แค่นั้น เธอใช้เวลาไม่นานก่อนจะตอบตัวเองได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร

เธอมั่นใจในที่สุดว่าเธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องจะทำร้าย

หญิงสาวตัวสั่นระริก หลายวันมานี้ ความรู้สึกนี้มันเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แล้วเธอก็ดุตัวเองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

เธอส่ายหัวเอาความคิดพวกนั้นออกจากสมอง ขณะที่กำลังสตาร์ทรถก็พยายามคิดเรื่องอื่นไปด้วย แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกันกับเบ็คกี้พี่สาวของเธอ เดี๋ยวช่วงบ่ายวันนี้ ซินดี้จะไปช่วยเธอจัดงานวันเกิดให้ลูกสาววัย 3 ขวบ เต็มที่ทั้งเค้กทั้งลูกโป่ง

มันต้องเป็นวันที่สวยงามแน่ๆ เธอคิดในใจ

บทที่ 6

ไรล์ลี่นั่งมาในรถสปอร์ตอเนกประสงค์ข้างๆกับบิล ที่กำลังเปลี่ยนเกียร์เพื่อดันรถสี่ล้อขององค์กรคันนี้ให้ปีนขึ้นเขาไปได้ เธอเช็ดฝ่ามือไปกับขากางเกง เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเหงื่อถึงออก พอๆกับที่เธอก็ไม่รู้ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่นั่นแหละ หลังจากพักงานไปหกสัปดาห์ เธอรู้สึกปรับร่างกายไม่ถูก การได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่นี่มันช่างเหลือจะเชื่อ

ความตึงเครียดอันน่าอึดอัดนี้มันช่างกวนจิตใจไรล์ลี่ยิ่งนัก บิลกับเธอแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยระหว่างระยะทางหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ขับรถมา ทั้งความสนิทสนม ความขี้เล่น ความสามัคคีกัน – ตอนนี้ไม่รู้มันไปไหนหมด ไรล์ลี่คิดว่าเธอรู้ว่าทำไมบิลถึงทำตัวเหินห่าง เขาไม่ได้ทำไปเพราะหยาบคายหรืออะไร – แต่เป็นเพราะความห่วงกังวล เขาเองดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจว่าเธอควรจะกลับมาทำงานแล้วหรือ

พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองโมวส์บี้ สถานที่ที่บิลบอกเธอว่าพบเหยื่อฆาตกรรมรายล่าสุด ระหว่างเดินทาง ไรล์ลี่ค่อยๆเก็บรายละเอียดภูมิศาสตร์รอบตัวเธอ ความรู้สึกเดิมของความเป็นมืออาชีพย้อนกลับมา เธอรู้ว่าเธอต้องเรียกสติกลับมา

ตามหาไอ้สารเลวนั่นแล้วฆ่ามันให้ฉัน

คำพูดของมารียังคงหลอนอยู่ในโสตประสาท แนะแนวทางให้เธอ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างง่ายๆ

แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนจะง่ายขนาดนั้น อย่างหนึ่งคือ ตัวเธออดเป็นห่วงเอพริลไม่ได้ การส่งเอพริลไปอยู่บ้านพ่อของเธอไม่ได้เป็นผลดีกับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องเลย แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และไรล์ลี่ไม่อยากจะรอจนถึงวันจันทร์กว่าจะได้เห็นสถานที่เกิดเหตุ

ความเงียบสงัดเริ่มทำให้เธอกระวนกระวายยิ่งขึ้น และเธอรู้สึกจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องพูดอะไรบ้าง นึกหาหัวข้อสนทนาในหัวสุดชีวิต จนในที่สุด เธอก็พูดขึ้นมาว่า:

“แล้วคุณจะบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับแม็คกี้?”

บิลหันมาหาเธอหน้าตาแปลกใจ และเธอเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะเธอทำลายความเงียบขึ้นมา หรือเป็นเพราะคำถามขวานผ่าซาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร เธอก็รู้สึกในทันทีว่าไม่น่าจะพูดออกไปเลย หลายคนเคยบอกว่าความตรงไปตรงมาของเธอนั้นอาจทำให้ใครขุ่นเคือง เธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาขวานผ่าซาก – เธอแค่ไม่มีเวลาจะให้เสียแล้ว

บิลถอนใจ

“เธอคิดว่าผมกำลังมีชู้”

ไรล์ลี่กระตุกด้วยความแปลกใจมาก

“อะไรนะ”

“กับงานของผมน่ะ” บิลตอบกลั้วเสียงหัวเราะฝืดๆ “เธอคิดว่าผมกำลังเป็นชู้กับงาน คิดว่าผมรัก ทั้งหมดนี่ มากกว่ารักเธอ

ผมบอกเธอไปหลายหนแล้วว่าเธอกำลังทำตัวไร้สาระ แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็จบมันไม่ได้อยู่ดี – ไม่ใช่เรื่องงานของผมก็แล้วกัน”

ไรล์ลี่ได้แต่ส่ายหัว

“ฟังแล้วเหมือนไรอันเลย เขาเคยหึงไม่ลืมหูลืมตาสมัยที่เรายังอยู่ด้วยกัน”

เธอหยุดไว้แค่นั้นไม่บอกความจริงทั้งหมดกับบิล สามีเก่าของเธอไม่ได้หึงเธอกับงาน แต่เขาหึงเธอกับบิลต่างหาก เธอเคยสงสัยว่าไรอันอาจจะมีเหตุผลอะไรรึเปล่า ทั้งๆที่มันเต็มไปด้วยความอึดอัดในวันนี้ เธอกลับรู้สึกดีมากแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับบิล ความรู้สึกนั้นมันเกี่ยวกับงานล้วนๆรึเปล่านะ?

“ผมหวังว่าทริปนี้จะไม่เสียเปล่านะ” บิลพูดขึ้น “คุณรู้ใช่มั้ยว่าที่เกิดเหตุมันถูกเคลียร์พื้นที่ไปหมดแล้ว”

“ฉันรู้ ฉันแค่อยากจะเห็นสถานที่จริงด้วยตัวเอง รูปถ่ายกับรายงานมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉัน”

ไรล์ลี่เริ่มรู้สึกวิงเวียน เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะการไต่ระดับความสูงที่พวกเขากำลังขับขึ้นเขาไปเรื่อย ความใจจดใจจ่ออยากจะเห็นก็น่าจะมีส่วนด้วยเหมือนกัน เหงื่อยังคงออกที่ฝ่ามือเธอ

“อีกไกลแค่ไหน” เธอถามขึ้นมาขณะมองป่าที่เริ่มทึบขึ้น ภูมิประเทศเริ่มห่างไกลผู้คนมากขึ้น

“ไม่ไกล”

ไม่กี่นาทีต่อมา บิลเลี้ยวออกจากถนนคอนกรีตเข้าสู่ถนนลาดยางเส้นคู่ รถนั้นเคลื่อนที่ไปด้วยความกระเด้งกระดอนจนมาหยุดอยู่เกือบถึงปากทางเข้าป่าดงดิบ

เขาดับเครื่องยนต์พร้อมกับหันมาทางไรล์ลี่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“คุณแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?” เขาถาม

เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องอะไร เขากลัวว่าเธอจะนึกย้อนไปถึงความทรงจำเลวร้ายตอนโดนจับขัง ไม่เป็นไร เพราะนี่มันคนละคดีกัน และฆาตกรก็คนละคนกัน

เธอพยักหน้า

“ฉันแน่ใจ” เธอบอกอย่างไม่ค่อยเชื่อตัวเองซักเท่าไหร่

ไรล์ลี่ลงจากรถและเดินตามบิลออกนอกถนนเข้าไปบนทางเดินผ่านป่าแคบและรกชัฏ เธอได้ยินเสียงน้ำเซาะลงมาจากธารน้ำใกล้ๆ ขณะที่ป่าไม้นั้นรกทึบมากขึ้น เธอเองก็ต้องเดินฝ่าสารพัดกิ่งไม้เตี้ยๆที่ห้อยเป็นอุปสรรคระหว่างทาง และหนามต้นไม้เล็กยิบย่อยเริ่มที่จะเกาะติดขากางเกงเธอแล้ว เธอดูหงุดหงิดเมื่อคิดว่าเดี๋ยวจะต้องมานั่งดึงหนามออกทีละอัน

ในที่สุดเธอและบิลก็มาโผล่ตรงแอ่งลำธาร ไรล์ลี่นั้นเหมือนต้องมนต์ในทันทีกับความสวยงามของสถานที่ แสงยามบ่ายส่องผ่านหมู่ใบไม้ลงมาตกกระทบบนผืนน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกจนดูน่าเวียนหัว เสียงไหลเซาะของสายน้ำจังหวะสม่ำเสมอนั้นฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย มันน่าแปลกที่คิดว่าที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุของอาชญากรรมที่แสนโหดร้าย

“เธอถูกพบตรงนี้” บิลพูดขึ้น เดินนำเธอไปตรงหินก้อนใหญ่

เมื่อเดินมาถึงตรงนั้น ไรล์ลี่ยืนพินิจสิ่งรอบตัวพร้อมสูดหายใจลึก ถูกแล้ว เธอทำถูกแล้วที่มาที่นี่ เธอเริ่มจะรู้สึกแบบนั้น

“ภาพถ่ายล่ะ” ไรล์ลี่ถามหา

เธอนั่งยองๆลงข้างบิลบนหินก้อนใหญ่นั้น และเริ่มพลิกทีละหน้าดูแฟ้มที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ในช่วงสั้นๆหลังจากที่ศพของ

รีบ้า ฟราย ถูกค้นพบ อีกแฟ้มหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยรายงานและภาพถ่ายของคดีเก่าที่เธอและบิลสืบสวนเมื่อหกเดือนก่อน – คดีอันที่พวกเขาปิดไม่สำเร็จ

ภาพถ่ายเหล่านั้นดึงความทรงจำแสนเด่นชัดของฆาตกรรมรายแรก พาเธอย้อนเวลากลับไปยังฟาร์มชนบทแห่งนั้นใกล้กับเมืองแด็กเก็ตต์ เธอจำได้ว่าโรเจอร์สถูกจัดวางท่าทางคล้ายๆกันพิงไว้อยู่กับต้นไม้

“เหมือนคดีเก่าของเรามาก” ไรล์ลี่สังเกต “ผู้หญิงทั้งคู่อายุราวสามสิบกว่า ทั้งคู่มีลูกเล็กๆ นั่นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของวิธีปฏิบัติการของคนร้าย มันคงต้องมีปมเรื่องแม่ เราต้องเช็คไปยังกลุ่มผู้ปกครอง ลองหาดูว่าผู้หญิงสองคนนี้หรือลูกของทั้งสองมีอะไรเกี่ยวพันกันรึเปล่า”

“ผมจะให้คนไปตรวจสอบ” บิลบอก ขณะกำลังจดบันทึก

ไรล์ลี่เทรูปถ่ายและรายงานออกมาดูต่อ เปรียบเทียบภาพถ่ายกับสถานที่จริง

“วิธีรัดคอก็เหมือนกัน, ใช้ริบบิ้นสีชมพู” เธอจับสังเกต “วิกผมอีกแล้ว แล้วยังมีดอกกุหลาบพลาสติกด้านหน้าศพอีก”

ไรล์ลี่ถือรูปถ่ายสองใบเทียบอยู่ข้างกัน

“ตาโดนเย็บเปิดไว้เหมือนกันด้วย” เธอพูดขึ้น “ถ้าฉันจำไม่ผิด ผู้เชี่ยวชาญพบว่าตาของโรเจอร์สถูกเย็บหลังการตาย กับ

ฟรายล่ะเหมือนกันมั้ย?”

“ใช่ ผมเดาว่ามันคงต้องการบังคับให้พวกเธอต้องดูมันต่อถึงแม้จะตายไปแล้ว”

อยู่ๆไรล์ลี่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เธอเกือบจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว เธอจะรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ข้อมูลบางอย่างในคดีกำลังจะลงล็อคและไขกระจ่าง เธอไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกยังไง มีกำลังใจ หรือ หวาดกลัว

“ไม่ใช่” เธอบอก “ไม่ใช่แบบนั้น มันไม่สนหรอกว่าพวกเธอจะมองเห็นมันรึเปล่า”

“ถ้างั้น มันทำแบบนั้นทำไม”

ไรล์ลี่ไม่ตอบ ความคิดเริ่มที่จะหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาแต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกออกมาเป็นคำพูดใดๆ – ไม่แม้แต่กับตัวเธอเอง

เธอวางรูปถ่ายสองใบลงบนหิน ชี้จุดรายละเอียดแก่บิล

“มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว” เธอบอกเขา “ศพไม่ได้ถูกจัดวางไว้อย่างดีก่อนหน้าที่เมืองแด็กเก็ตต์ มันพยายามจะเคลื่อนย้ายศพตอนที่ศพมันแข็งทื่อไปแล้ว ถ้าให้ฉันเดา ฉันว่าครั้งนี้มันพาเหยื่อมาที่นี่ก่อนสภาพศพจะแข็งตัว ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่มันจะจับเธอจัดท่าทางได้อย่าง…”

เธอพยายามสะกดความอยากจะจบประโยคลงด้วยคำว่า “อย่างสวยงาม” ไว้ และแล้วเธอก็ตระหนักว่านั่นคือชนิดของคำที่เธอมักเอามาใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก่อนการถูกจับไปกักขังทรมาน ใช่แล้ว จิตวิญญาณเธอกำลังกลับมาแล้ว และเธอก็เริ่มรู้สึกถึงความหมกมุ่นเดิมๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายใน คงไม่มีการใส่เกียร์ถอยแล้วในอีกไม่นานนี้

แต่แบบนั้นมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันนะ?

“ที่ตาของฟรายเป็นอะไรน่ะ” เธอถามพลางชี้ไปที่รูปถ่าย “สีฟ้านั่นดูไม่เหมือนของจริงเลย”

“คอนแท็คเลนส์” บิลตอบ

ความรู้สึกเสียวสันหลังของไรล์ลี่เริ่มหนักขึ้น ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ไม่เคยมีคอนแท็คเลนส์ มันเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญ

“แล้วที่เป็นเงาๆบนผิวหนังของเธอล่ะ” เธอถามต่อ

“วาสลีน” บิลตอบ

ข้อแตกต่างสำคัญอีกหนึ่งข้อ เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอเริ่มเข้าที่เข้าทางด้วยความเร็วสูง

“ทีมนิติเวชอธิบายเรื่องวิกผมนี่ว่ายังไง” เธอถามบิล

“ยังไม่มีอะไร นอกจากที่มันถูกเย็บต่อกันมาจากเศษๆของวิกผมราคาถูก”

ไรล์ลี่ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก ในคดีที่แล้ว ฆาตกรใช้แค่วิกผมอันเดียวธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เอาหลายๆอันมาเย็บติดกัน อย่างกุหลาบนี่ก็เหมือนกัน มันราคาถูกซะจนทีมนิติเวชก็ไม่สามารถจะตามร่องรอยได้ ไรล์ลี่รู้สึกได้ว่าชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์นั้นกำลังจะถูกประกอบแล้ว – ไม่ใช่จิ๊กซอว์ทั้งหมด แต่ก็เป็นชุดใหญ่เลยหละ

“นิติเวชมีแพลนจะทำยังไงกับวิกผมบ้าง” เธอถามอีก

“เหมือนคราวที่แล้ว – สืบค้นหาจากใยสังเคราะห์ แล้วพยายามเจาะตามร้านขายเครื่องประดับผมต่างๆ”

“พวกเขากำลังเสียเวลาเปล่า” ไรล์ลี่พูดออกมา และสะดุ้งไปกับเสียงพูดดุดันด้วยความมั่นใจของตัวเอง

บิลมองหน้าเธอ ไม่ทันตั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไม”

เธอรู้สึกถึงการหมดความอดทนอันคุ้นเคยกับบิล ความรู้สึกนี้ที่เธอจะมีเวลาที่คิดอะไรล่วงหน้านำเขาไปสองสามก้าว

“ดูนี่ ดูรูปที่มันพยายามจะสื่อให้เราเห็น คอนแท็คเลนส์สีฟ้าทำให้ดวงตาดูเหมือนของปลอม เปลือกตาถูกเย็บไว้ทำให้ดูเหมือนตาเบิกโพลง ร่างกายจัดวางไว้เป็นระบบ ขาแผ่ออกในลักษณะแปลกๆ วาสลีนทำให้ผิวหนังดูเหมือนพลาสติก วิกผมเย็บติดกันจากเศษวิก

หลายๆอัน – ไม่ใช่จากเศษวิกผมของคน แต่เป็นเศษวิกผมของตุ๊กตา มันต้องการให้เหยื่อดูเหมือนตุ๊กตา – เหมือนตุ๊กตาล่อนจ้อนในตู้โชว์”

“พระเจ้า” บิลอุทาน จดบันทึกด้วยความตื่นเต้น “ทำไมคราวที่แล้วเราถึงคิดไม่ออก ตอนที่อยู่เมืองแด็กเก็ตต์น่ะ”

คำตอบมันชัดเจนมากสำหรับไรล์ลี่ ซึ่งเธอได้แต่อดกลั้นเสียงคำรามด้วยหมดความอดทน

“มันยังไม่เก่งพอ” เธอบอก “มันยังคิดหาวิธีว่าจะสื่อความนัยนี้ยังไงอยู่เลย คงจะเรียนไปทำไปนั่นแหละ”

บิลเงยหน้าขึ้นจากสมุดโน๊ตแล้วส่ายหน้าอย่างชื่นชม

“ให้ตาย ผมคิดถึงคุณจริงๆ”

ถึงไรล์ลี่จะรู้สึกปลื้มกับคำชมนั้นมากเท่าไหร่ เธอก็รู้ดีว่ายังมีที่เด็ดกว่านี้ที่เธอจะคิดได้อีก และเธอก็รู้จากประสบการณ์แรมปีว่าไปบังคับความคิดให้มันมาไม่ได้ เธอแค่ต้องผ่อนคลายและปล่อยให้มันแล่นมาหาเธอเอง เธอนั่งยองๆบนหินอย่างเงียบๆ รอให้ความคิดมันแล่นมา ขณะที่รอไปเธอก็หยิบหนามออกจากขากางเกงไปด้วย

อะไรมันจะยุ่งวุ่นวายอย่างนี้ เธอนึกในใจ

ทันใดนั้น สายตาของเธอก็หยุดอยู่บนหินใต้ฝ่าเท้าเธอ มีหนามเล็กอื่นๆอยู่ตรงนั้น บางอันเต็มแท่งบางอันก็หักเป็นส่วน วางรวมอยู่ในกองหนามที่เธอเพิ่งจะดึงออกเมื่อสักครู่

“บิล” เธอเรียกเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “หนามเล็กๆพวกนี้มันอยู่ตรงนี้รึเปล่าตอนที่คุณพบศพ”

บิลยักไหล่ก่อนตอบ “ผมไม่รู้”

มือของเธอทั้งสั่นทั้งเหงื่อออกมากว่าปกติ เธอคว้ากองรูปถ่ายแล้วสับดูเรื่อยๆจนเจอภาพด้านหน้าของศพ ตรงนั้น ระหว่างขาที่วางเหยียดของเธอ ตรงแถวๆดอกกุหลาบ มีรอยเปื้อนเล็กน้อยเป็นกลุ่ม นั่นคือกลุ่มหนาม – หนามที่เธอเพิ่งจะพบ แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสำคัญเลย ไม่มีใครใส่ใจจะถ่ายรูปมันให้ใกล้ ให้ชัดกว่านี้ และก็ไม่มีใครใส่ใจแม้กระทั่งจะปัดมันออกเพื่อทำความสะอาดตอนที่เคลียร์พื้นที่เกิดเหตุ

ไรล์ลี่หลับตาลง ปล่อยให้จินตนาการพาเธอแล่นไป รู้สึกมึนงงและเวียนหัว นี่เป็นอาการที่เธอรู้จักดีเลยทีเดียว – ความรู้สึกที่เหมือนกำลังหล่นลงไปในนรก ลงไปในโพรงความมืด ลงไปในห้วงความคิดของฆาตกร เธอกำลังคิดเอาใจเธอไปใส่ใจของมัน เอาตัวเธอเข้าไปสู่ประสบการณ์ของมัน ในสถานที่อันตรายและน่ากลัว แต่นี่ก็คือที่ของเธอ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เธอจึงอ้าแขนรับมันเอาไว้

ไรล์ลี่รับรู้ได้ถึงความมั่นใจของฆาตกรขณะที่มันลากศพลงไปตามทางสู่ธารน้ำ มั่นใจมากว่าจะไม่มีใครจับได้ ไม่รีบเลยแม้แต่น้อย คงจะมีฮัมเพลงและผิวปากด้วยซ้ำ

เธอเห็นถึงความอดทน ความประณีต และฝีมือ ขณะที่มันกำลังจัดท่าทางให้ศพบนหินโขดใหญ่

เธอมองเห็นเหตุการณ์น่าเขย่าขวัญนี้ผ่านมุมมองของมัน รู้สึกได้ถึงความพึงพอใจเป็นอย่างมากกับงานที่เสร็จสิ้นลงด้วยดี – ความรู้สึกเดียวกันกับความอิ่มเอมใจเวลาที่เธอไขปริศนาคดีได้ มันต้องเคยนั่งยองๆบนโขดหินนี้มาก่อน หยุดพักเหนื่อยไปเพียงครู่ – หรือจะหยุดนานแค่ไหนก็ได้ที่มันต้องการ – แล้วชื่นชมกับงานฝีมือของตัวเอง

แล้วขณะที่มันทำเช่นนั้น มันก็ดึงหนามออกจากกางเกงไปด้วย ค่อยดึงอย่างไม่รีบร้อน ไม่ได้ใส่ใจที่จะรอให้ตัวเองหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยจัดการดึงหนามออกหรืออะไร และเธอก็แทบจะได้ยินเสียงของมันเอ่ยสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป

“อะไรมันจะยุ่งวุ่นวายอย่างนี้”

ถูกแล้ว มันถึงขนาดมีเวลามานั่งดึงหนามออก

ไรล์ลี่อ้าปากค้าง ดีดเปลือกตาลืมขึ้น สัมผัสจากหนามในมือของเธอทำให้เธอเห็นว่ามันเหนียวหนึบหนับและตรงปลายแหลมนั่นก็คมพอที่จะทิ่มจนเลือดออกได้

“เก็บพวกหนามนี่ไปเป็นหลักฐาน” เธอสั่ง “เราอาจจะเจอดีเอ็นเอบางอย่างก็ได้”

ตาของบิลเบิกโตขึ้นพร้อมดึงถุงซิปและคีมคีบออกมาในทันที ขณะที่เขากำลังทำงาน สมองของเธอก็แล่นต่อไป ยังไม่เสร็จสิ้นซะทีเดียว

“พวกเราคาดการณ์ผิดมาตลอด” เธอเสริม “นี่ไม่ใช่เหยื่อรายที่สองของมัน แต่เป็นรายที่สามต่างหาก”

บิลหยุดและเงยหน้ามองเธออย่างตกตะลึง

“คุณรู้ได้ยังไง?” บิลถาม

ร่างกายของไรล์ลี่บีบรัด ขณะเธอพยายามจะควบคุมความสั่นเทิ้มของร่างกาย

“มันเริ่มจะเก่งมากเกินไปแล้ว ระยะฝึกหัดจบลงแล้ว มันกลายเป็นมืออาชีพไปแล้วในตอนนี้ และโชคก็เพิ่งจะเข้าข้างมัน มันรักในการทำงาน ไม่สิ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สาม เป็นอย่างน้อย

คอของเธอเริ่มฝืด เธอกลืนน้ำลายแรง

“และเวลาก็เหลือไม่มากพอก่อนจะมีรายต่อไปเกิดขึ้น”

บทที่ 7

บิลรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยคลื่นนัยน์ตาสีฟ้า ไม่มีคู่ไหนเป็นของจริง ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะเก็บเอาคดีมาฝันร้าย และเขาก็ไม่ได้กำลังฝันร้ายอยู่ – หากแต่มันรู้สึกราวกับเป็นความฝันอันน่าสะพรึง ใจกลางร้านขายตุ๊กตาที่ตรงนี้ ดวงตาสีฟ้าคู่เล็กๆมันมีอยู่ทั่วทุกมุม ทั้งหมดมีดวงตาเบิกโพลงวิบวับและจับจ้องบ

ริมฝีปากสีทับทิมของตุ๊กตาที่ส่วนมากกำลังฉีกยิ้มอยู่นั้น ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว เช่นเดียวกับผมปลอมที่ถูกหวีรวบตึงไว้อย่างแข็งๆและขยับเขยื้อนไม่ได้ ระหว่างซึบซับเอารายละเอียดเหล่านี้อยู่นั้น บิลเพิ่งนึกประหลาดใจว่าทำไมเขาถึงพลาดในการตีความนัยน์ของเจ้าฆาตกรไปได้ – จุดประสงค์ที่ต้องการทำให้เหยื่อดูใกล้เคียงกับตุ๊กตามากเท่าที่จะทำได้ ซึ่งที่สุดแล้วต้องพึ่งไรล์ลี่ในการเชื่อมความเกี่ยวพันกันของสิ่งเหล่านั้น

ขอบคุณพระเจ้าที่เธอกลับมา เขาคิดในใจ

แต่ถึงอย่างนั้น บิลก็ยังอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เขาเคยอึ้งกับการทำคดีของเธอตั้งแต่สมัยคดีเมืองโมวส์บี้แล้ว แต่หลังจากที่เขาขับรถกลับไปส่งเธอที่บ้าน ดูเธอเหนื่อยและล้าเหลือเกิน เธอแทบไม่ได้พูดอะไรกับเขาระหว่างทางขากลับ มันอาจจะมากเกินไปสำหรับเธอรึเปล่า

ไม่ว่าอย่างไร บิลก็ยังคงหวังให้ไรล์ลี่มาอยู่ด้วยตรงนี้ในเวลานี้ เธอคิดว่ามันเป็นการดีที่ทั้งสองจะแยกกันหาหลักฐานเพื่อให้เสร็จไวยิ่งขึ้น ซึ่งเขาก็ปฏิเสธข้อนั้นไม่ได้ เธอส่งหน้าที่ให้เขารับผิดชอบบริเวณร้านขายตุ๊กตาในขณะที่เธอจะไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุของคดีเก่าเมื่อหกเดือนก่อน

บิลเดินสำรวจไปรอบๆ ยังคิดอะไรไม่ออก นึกสงสัยว่าหากไรล์ลี่ได้เห็นร้านขายตุ๊กตานี้แล้วจะมีความเห็นว่าอย่างไร ร้านนี้เป็นร้านที่หรูหราที่สุดจากทุกร้านที่เขาไปสำรวจมาวันนี้ ตั้งอยู่ในชานเมืองของแคปิตอลเบลท์เวย์ ดูท่าร้านนี้คงจะมีนักช็อปไฮโซจากครอบครัวเศรษฐีในเทศมณฑลนอร์ธเทิร์นเวอร์จิเนียเป็นลูกค้าอยู่เป็นกระบุง

เขาเดินเลือกดูไปเรื่อยและสะดุดตากับตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัวจิ๋ว ด้วยโทนผิวสีซีดและรอยยิ้มปากคว่ำมันยิ่งเตือนให้เขานึกถึงเหยื่อรายล่าสุด ถึงแม้ว่าตุ๊กตาจะใส่เสื้อผ้าครบอยู่ในชุดเดรสสีชมพูมีระบายลูกไม้ทั้งที่ปกคอ, ข้อมือ, และชายเดรส ตัวตุ๊กตานั้นยังนั่งอยู่ในท่าที่คล้ายกันอย่างน่าวิตกจริต

แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงพูดขึ้นทางด้านขวา

“ดิฉันว่าคุณกำลังดูผิดโซนแล้วมั้งคะ”

บิลหันกลับไปพบว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับหญิงสาวร่างเล็กพร้อมรอยยิ้มต้อนรับ เธอมีออร่าบางอย่างที่บอกว่าเธอคงเป็นเจ้าของที่นี่

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ” บิลถาม

หญิงสาวขำเล็กน้อย

“ก็เพราะว่าคุณไม่มีลูกสาวน่ะสิคะ ฉันดูออกว่าผู้ชายคนไหนมีหรือไม่มีลูกตั้งแต่เห็นที่หน้าประตูร้านเลยล่ะค่ะ อย่าถามนะคะว่าทำได้ยังไง ฉันเดาว่ามันคงเป็นคล้ายๆสัญชาตญาณ

บิลนั้นทึ่งกับความรอบรู้ของหญิงสาว และออกจะประทับใจด้วย

เธอผายมือออกไปหาเขา

“รูธ เบนเก้ ค่ะ” เธอแนะนำตัว

บิลจับมือทักทายกับเธอ

“บิล เจฟฟรี่ส์ ครับ ผมเดาว่าคุณคงเป็นเจ้าของร้าน”

เธอหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

“คุณเองก็ดูเหมือนจะมีสัญชาตญาณเหมือนกันนะคะ” เธอล้อเขาเล่น “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ว่าแต่ว่าคุณมีลูกชายใช่มั้ยคะ ฉันเดาว่าน่าจะเป็นลูกชายทั้งสามคน”

บิลยิ้มรับ คงต้องยอมรับว่าสัญชาตญาณเธอจัดว่าค่อนข้างแม่นเลยทีเดียว เธอกับไรล์ลี่น่าจะเข้ากันได้ดี

“สองคนครับ” เขาตอบ “แต่ก็เดาได้เฉียดฉิวมาก”

เธอยังคงขำเล็กๆ

“อายุเท่าไหร่คะ” เธอถามต่อ

“แปด กับ สิบขวบครับ”

เธอมองไปรอบๆร้าน

“ฉันไม่รู้ว่าในร้านจะมีอะไรที่พวกเขาเล่นได้มั้ย เอ้อ อันที่จริงฉันพอมีตุ๊กตาทหารเท่ๆอยู่ที่ช่องถัดไป แต่ก็ไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายสมัยนี้ยังชอบเล่นแบบนี้กันอยู่รึเปล่า เดี๋ยวนี้เห็นเล่นกันแต่วิดิโอเกมส์ แถมยังเป็นแบบรุนแรงเลือดสาดอีกต่างหาก”

Назад Дальше