พวกเขาหยุด ก้มตัวไปข้างหน้า มือทั้งสองจับสะโพกไว้ หายใจหอบ เขามองตากันแวบหนึ่ง และอเล็กมองข้ามไหล่ตัวเองไปยังด้านหลังของป่า เขาหายใจเสียงดัง รู้สึกเจ็บหน้าอกจากอากาศเย็น กระดูกซี่โครงเจ็บระบม และเริ่มสงสัย
“ทำไมพวกมันถึงไม่ตามเรามา?” อเล็กถาม
มาร์โคยักไหล่
“บางทีพวกมันรู้ว่าป่าแห่งนี้จะช่วยจัดการเราให้ก็ได้”
อเล็กฟังเสียงของทหารแพนดีเซีย แต่ไม่มีเสียงใด ๆ เลย แทนที่จะเป็นเสียงของทหาร พวกเขากลับได้ยินอีกเสียงหนึ่งที่แตกต่าง – เป็นเสียงทุ้มที่คำรามด้วยความโกรธแค้น
“ได้ยินไหม?” อเล็กถาม ขนคอของเขาตั้งชัน
มาร์โคส่ายหน้า
อเล็กยืนรออยู่ที่นั่น สงสัยว่าจิตใจของเขากำลังล้ออะไรเล่นกับเขาอยู่หรือเปล่า ต่อจากนั้นไม่นาน เขาได้ยินเสียงนั้นอีก มันเป็นเสียงคำรามจากระยะไกล ข่มขู่ ไม่เหมือนที่อเล็กเคยได้ยินมาก่อน เขาหยุดฟังเสียงนั้น ในขณะที่เสียงเริ่มดังยิ่งขึ้น เมื่อสิ่งนั้นเข้ามาใกล้
มาร์โกจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาตื่นกลัว
“รู้แล้วล่ะว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ตามเรามา” มาร์โกบอก เสียงของเขาบ่งบอกว่าจำที่มาของเสียงประหลาดนั้นได้
อเล็กเริ่มสับสน
“หมายความว่าอะไร?” เขาถาม
“วิลวอกซ์” เขาตอบ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พวกเขาปล่อยพวกมันออกมาตามล่าเรา”
คำ วิลวอกซ์ ทำให้อเล็กเกิดความหวาดกลัว เขารู้จักพวกมันตั้งแต่เด็กแล้ว และเคยได้ยินคำร่ำลือว่าพวกมันอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนาม แต่เขาคิดอยู่เสมอว่า พวกมันเป็นสัตว์ที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น ว่ากันว่าพวกมันเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดในยามค่ำคืน เป็นสัตว์แห่งฝันร้าย
เสียงคำรามเริ่มดังยิ่งขึ้น ฟังดูเหมือนกับจะมีหลายตัว
“วิ่ง!” มาร์โกอ้อนวอน
มาร์โกหมุนตัวกลับในขณะที่อเล็กออกวิ่งไปพร้อมกัน และทั้งสองก็วิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในป่า อะดรีนาลีนถูกสูบฉีดเข้ากระแสเลือดในขณะที่อเล็กวิ่งไป เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังเต็มสองรูหูของเขา ขาทั้งสองแทบจะจมลงไปในกองหิมะ เสียงรองเท้าบูทเหยียบหิมะ ในไม่ข้าเขาก็ได้ยินเสียงของเจ้าสิ่งมีชีวิตกลุ่มนั้นใกล้เข้ามาด้านหลัง และเขารู้ด้วยว่ากำลังถูกวิ่งไล่โดยสัตว์ดุร้ายที่ไม่สามารถวิ่งหนีได้
อเล็กสะดุดรากต้นไม้คะมำไปชนยังต้นไม้อย่างจัง เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พยายามสลัดความเจ็บปวดทิ้งแล้ววิ่งต่อ เขากวาดตามองไปที่ป่าเพื่อหาทางหนี ด้วยรู้ดีว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว แต่ไม่มีทางหนีเลย
เสียงคำรามยิ่งดังขึ้น ในขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้น อเล็กมองข้ามไหล่ไปยังด้านหลัง – และทันทีที่หันไป เขาได้เห็นสิ่งที่คิดว่าไม่อยากเห็น เพราะที่ตามพวกเขามาติด ๆ คือสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดที่คนเคยเห็น มันมีทั้งหมดสี่ตัว วิลวอกซ์มีรูปร่างคล้ายหมาป่า แต่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่า มีเขาแหลมเล็กสองข้างโผล่ออกมาทางด้านหลังของหัว และมีตาแดงโตหนึ่งดวงอยู่ระหว่างเขาทั้งสองข้าง อุ้งมือของพวกมันมีขนาดเท่าอุ้งมือหมี และมีกรงเล็บยาวโผล่ออกมา หนังของมันเป็นมันและดำเหมือนสีของกลางคืน
เห็นพวกมันในระยะใกล้แบบนี้ อเล็กรู้ตัวดีว่าเขาเหมือนคนที่ตายแล้ว
อเล็กทุ่มพลังที่เหลือทั้งหมดเร่งตัวออกไปข้างหน้า ฝ่ามือทั้งสองของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศหนาวเย็น ลมหายใจออกของเขาจับตัวแข็งอยู่ต่อหน้าเขา วิลวอกซ์อยู่ใกล้เพียงแค่ยี่สิบเมตรเท่านั้น และเขารู้ดีจากแววตาและจากน้ำลายที่ไหลย้อยลงมาจากปาก ว่าพวกมันต้องฉีกร่างพวกเขาเป็นชิ้น ๆ แน่ เขามองไม่เห็นทางที่จะหนีรอดได้เลย เขามองไปที่มาร์โคด้วยหวังว่าจะมีสัญญาณบอกถึงแผนการอะไรบ้าง แต่มาร์โคก็มีสีหน้าสิ้นหวังไม่ต่างจากเขา แน่นอนว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน
อเล็กหลับตาลงและทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน: เขาสวดมนต์ภาวนา เขามองเห็นภาพชีวิตทั้งหมดผ่านเข้ามาในดวงตา มันช่วยเปลี่ยนอะไรบางอย่างในตัวเขา ทำให้เขาตระหนักว่าชีวิตเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์เพียงใด และทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังยิ่งขึ้น เมื่อพยายามที่จะรักษาชีวิตไว้
ได้โปรดเถิด พระผู้เป็นเจ้า ช่วยพาผมออกไปจากที่นี่ หลังจากทุกสิ่งที่ผมทำกับพี่ชายของผม ขออย่าให้ผมต้องจบชีวิตที่นี่เลย ไม่ใช่ในสถานที่แห่งนี้ จากสิ่งมีชีวิตพวกนี้ ผมขอทำทุกอย่าง
อเล็กพลันลืมตาขึ้น มองขึ้นไปด้านบน และทันทีที่เขามองขึ้นไปนั้น ครั้งนี้เขาสังเกตเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ต่างจากต้นอื่น ๆ กิ่งของมันเป็นตะปุ่มตะป่ำ และคล้อยต่ำลงมา สูงพอให้เขาเอื้อมมือคว้าแล้วกระโดดขึ้นได้ เขาไม่รู้ว่าวิลวอกซ์สามารถปีนต้นไม้ได้หรือไม่ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“กิ่งไม้นั่น!” อเล็กร้องตะโกนใส่มาร์โค ชี้มือไปที่ต้นไม้
พวกเขาวิ่งตรงไปยังต้นไม้พร้อมกัน และขณะนั้นเองที่วิลวอกซ์ใกล้เข้ามา ห่างเพียงไม่กี่ฟุต พวกเขากระโดดขึ้นและคว้าไปที่กิ่งไม้โดยไม่หยุดวิ่ง พร้อมกับดึงตัวเองขึ้นไป
มือของอเล็กลื่นเนื่องจากหิมะที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ แต่เขาพยายามเกาะไว้ได้สำเร็จ เขาพยายามดึงตัวเองขึ้นไปยังกิ่งที่สูงขึ้นไปจนกระทั่งตัวเขาอยู่พ้นจากพื้นหลายฟุต ทันใดนั้น เขาพยายามกระโดดขึ้นบนกิ่งต่อไป ที่สูงขึ้นไปอีกสามฟุต มาร์โคเคียงข้างเขาไป เขาไม่เคยปีนต้นไม้ได้รวดเร็วอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
พวกวิลวอกซ์มาถึงต้นไม้แล้ว พวกมันคำรามอย่างดุร้าย กระโดดขึ้นและพยายามตะปบเท้าของพวกเขา อเล็กรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวที่ส้นเท้าของเขา ก่อนที่เขาจะยกขาขึ้นสูงหลบเขี้ยวของมันเพียงนิ้วเดียว ทั้งสองยังคงปีนต่อด้วยแรงขับของอะดรีนาลิน จนกระทั่งพวกเขาอยู่พ้นขึ้นไปจากพื้น 15 ฟุต และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ในที่สุดอเล็กก็หยุดปีน ยึดเกาะกิ่งไม้ไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี หายใจหอบเหนื่อย เหงื่อไหลย้อยลงมาแสบตาของเขา เขามองลงไปด้านล่าง เพ่งมอง ภาวนาว่าขออย่าให้วิลวอกซ์ปีนต้นไม้ได้เลย
ในที่สุดเขาก็โล่งใจที่เห็นพวกมันยังอยู่บนพื้น ขู่คำรามและส่งเสียงดัง ในขณะที่กระโดดขึ้นต้นไม้ แต่แน่นอนว่าพวกมันปีนต้นไม้ไม่เป็น พวกมันใช้กรงเล็บขีดข่วนลำต้นอย่างดุร้าย แต่ก็ไร้ประโยชน์ใด ๆ
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนกิ่งไม้ และในขณะที่ประจักษ์ถึงความจริงที่ว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก มาร์โคระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ยังความประหลาดใจให้อเล็กเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะของความโล่งอก เป็นเสียงหัวเราะของคนซึ่งรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อ
อเล็กตระหนักถึงความฉิวเฉียดนี้ ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้เช่นกัน เขารู้ดีว่าพวกเขายังห่างจากคำว่าปลอดภัยยิ่งนัก รู้ว่าพวกเขาไม่อาจหนีจากที่แห่งนี้ไปได้ และรู้ว่ามีโอกาสที่จะต้องจบชีวิตในสถานที่แห่งนี้ แต่สำหรับตอนนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ปลอดภัย
“ดูเหมือนฉันจะเป็นหนี้ชีวิตนายนะ” มาร์โคบอก
อเล็กส่ายหน้า
“อย่าเพิ่งขอบคุณฉัน” อเล็กพูด
พวกวิลวอกซ์ยังส่งเสียงคำรามอย่างโหดร้าย แผงขนที่ด้านหลังหัวของพวกมันตั้งชัน และอเล็กมองขึ้นไปยังต้นไม้ที่อยู่ด้านบน ด้วยมืออันสั่นเทา เขาต้องการปีนสูงขึ้นไปอีก และสงสัยว่าพวกเขาจะปีนขึ้นได้สูงอีกเพียงใด สงสัยว่าพวกเขาจะมีทางออกจากที่นี่หรือไม่
ทันใดนั้น อเล็กรู้สึกตัวแข็งทื่อ เมื่อมองขึ้นไปเขาถึงกับผงะ เหมือนถูกตีด้วยความน่ากลัวที่ไม่เคยประสบมาก่อน ที่กิ่งไม้เหนือพวกเขาขึ้นไปนั้น สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นกำลังจ้องมองลงมา ด้วยความยาวแปดฟุต ร่างกายคล้ายงู แต่มีขาทั้งหมดหกชุด แต่ละชุดมีกรงเล็บยาว หัวของมันมีรูปร่างคล้ายปลาไหล มีดวงตาแคบเล็กสีเหลืองด้านที่จ้องมองมาที่อเล็ก มันอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ฟุต หลังโค้งงอ ส่งเสียงขู่ฟ่อ เปิดปากขึ้น ด้วยอาการตกตะลึง อเล็กแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่ามันจะอ้าปากได้กว้างขนาดนี้ – กว้างพอที่จะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว และเขารู้ จากเสียงสั่นกระดิ่งที่หางว่า มันพร้อมที่จะจู่โจม – และสังหารพวกเขาทั้งคู่
ปากของมันเลื่อนเข้ามาใกล้คอของอเล็ก และเขาโต้ตอบอย่างไม่ตั้งใจนักด้วยการกรีดร้องและกระโดดถอยหลังจนมือหลุดจากกิ่งไม้ มาร์โคกระโดดตามเขาไป คิดเพียงอย่างเดียว ให้หนีให้พ้นจากความตายจากเขี้ยวมรณะที่อยู่ในปากอันใหญ่มหึมานั้น
เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งที่รออยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาลอยละลิ่วลงมาในอากาศ โดยปราศจากการควบคม และเมื่อเขาได้คิดก็นับว่าสายไปเสียแล้ว ว่าเขากำลังหนีเขี้ยวพิษชุดหนึ่งไปหาเขี้ยวอีกชุดหนึ่ง เขาเหลือบมองไปด้านหลังและมองเห็นพวกวิลวอกซ์ยืนอ้าปากน้ำลายหกอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่จะปกป้องเขาจากการตกลงมานี้ได้เลย
เขาได้แลกความตายหนึ่งกับอีกความตายหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บทที่สาม
ไคร่าเดินอย่างเชื่องช้าผ่านประตูแห่งอาร์โกส์ สายตาของเหล่าทหารของพ่อของเธอจับจ้องมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกปวดแสบด้วยความอับอาย เธออ่านความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับธีโอส์ผิดไป เธอคิดมาโดยตลอดด้วยความโง่เขลาว่า เธอสามารถควบคุมเขาได้ – แต่ในทางกลับกัน เขากลับปฏิเสธเธอต่อหน้าทหารเหล่านี้ ในทุกสายตาที่มองเธอนั้น เธอเป็นคนที่ไร้ซึ่งอำนาจใด ๆ ไม่สามารถควบคุมมังกรได้ เธอเป็นเพียงแค่นักรบคนหนึ่งเท่านั้น – ไม่ใช่นักรบสิ เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่นำผู้คนเหล่านี้เข้าสู่ศึกสงคราม และหากมังกรทิ้งพวกเขาไปอย่างนี้แล้ว มันเป็นสงครามที่ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย
ไคร่าเดินผ่านประตูแห่งอาร์โกส์อย่างเงียบ ๆ รับรู้ได้ถึงการถูกจ้องมอง แล้วตอนนี้พวกเขาจะคิดกับเธออย่างไร? เธอสงสัย เธอไม่รู้ว่าเสียด้วยซ้ำว่าจะคิดถึงตัวเองอย่างไร ธีโอส์ไม่ได้มาช่วยเธอหรอกหรือ? เขาเพียงต่อสู่สงครามของเขาเองเท่านั้นใช่ไหม? แล้วเธอมีพลังพิเศษบ้างหรือเปล่านะ?
ไคร่ารู้สึกโล่งอกที่เห็นทหารเหล่านั้นหันมองไปทางอื่น พวกเขาสนใจสมบัติที่ได้มา ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับการรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม พวกเขารีบเร่งเดินกลับไปกลับมา รวบรวมสิ่งของที่เหล่าทหารของท่านลอร์ดทิ้งไว้ นำขึ้นรถม้าและเคลื่อนย้ายออกไป โล่และเสื้อเกราะถูกนำมากองรวมกันไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหิมะตกหนักขึ้น และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม พวกเขามีเวลาเหลือน้อยเต็มที
“ไคร่า” เป็นเสียงที่คุ้นเคย
เธอหันกลับไปยังเสียงนั้นและรู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มของเอนวินขณะที่เดินเข้ามาหาเธอ เขามองเธอด้วยความเคารพ ความอ่อนโยน และความอบอุ่นอย่างที่เคยเป็นเสมอมา เขาโอบไหล่ข้างหนึ่งของเธอด้วยความรัก มีรอยยิ้มกว้างภายใต้เคราของเขา และถือดาบเล่มใหม่ที่สะท้อนแสงเป็นประกายต่อหน้าเธอ ดาบเล่มนี้แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของแพนดีเซีย
“นับเป็นโลหะที่ดีที่สุด ที่ฉันเคยเห็นมาในเวลาหลายปีเลยที่เดียว” เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “ขอบคุณเธอ ที่ทำให้เราได้อาวุธมากพอที่จะทำสงคราม เธอช่วยให้เรากลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามเลยทีเดียว”
ไคร่ารู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดของเขาเหมือนที่เคยมาทุกครั้ง ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกหดหู่ ความสับสน ที่ถูกเมินเฉยจากมังกรได้ เธอยักไหล่
“ฉันไม่ได้ทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้” เธอตอบ “เป็นธีโอส์ต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ธีโอส์กลับมาเพื่อช่วย เธอ” เขาตอบ
ไคร่าเหลือบมองไปยังท้องฟ้าสีเทาเบื้องบนที่ขณะนี้ว่างเปล่า และเธอเริ่มเกิดความสงสัย
“ฉันไม่แน่ใจนักหรอก”
ทั้งสองมองท้องฟ้าอย่างเงียบงันเป็นเวลาเนิ่นนาน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเท่านั้น
“พ่อของเธอรอเธออยู่” เอนวินเอ่ยออกมาในที่สุด นำเสียงของเขาจริงจัง
ไคร่าเดินไปพร้อมเอนวิน เสียงกรอบแกรบของน้ำแข็งและหิมะดังใต้รองเท้าบูท พวกเขาเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังทำงานกันอยู่ เดินผ่านทหารของพ่อของเธอสิบคนที่กระจายอยู่ทั่วฐานทัพแห่งอาร์โกส์ รู้สึกผ่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเมื่อเห็นทหารเหล่านี้พากันหัวเราะ ดื่มกัน บ้างกระทบไหล่กัน ขณะที่รวบรวมอาวุธและเสบียง พวกเขาเป็นเหมือนเด็ก ๆ ในวันแห่งออล ฮอลโลว์
เหล่าทหารของพ่อของเธออีกหลายสิบคนเข้าแถวเรียงกันเพื่อส่งต่อถุงเมล็ดข้าวของแพนดีเซีย จนรถบรรทุกมีถุงเมล็ดข้าวกองสูง รถอีกคันมีเกราะที่ส่งเสียงกระทบกันในขณะที่แล่นไป มันกองทับกันสูงมากจนบางส่วนหล่นออกด้านข้าง มีทหารพยายามเก็บอุปกรณ์ที่ตกลงมากลับคืน รถเหล่านี้ล้วนมุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการ บางคันอยู่บนเส้นทางกลับไปที่โวลิส คันอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่พ่อของเธอสั่งการไว้ ทุกคันล้วนบรรทุกจนปริ่มขอบ ไคร่ารู้สึกพอใจในภาพที่เห็น ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อสงครามที่เธอเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดเริ่มลดลง
พวกเขาเลี้ยวที่มุมหนึ่งในขณะที่ไคร่ามองเห็นพ่อของเธอ รายล้อมไปด้วยทหารของเขา กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบดาบและหอกที่พวกเขานำออกมาให้พ่อของเธอได้ตรวจตรา พ่อของไคร่าหันมา ในขณะที่เธอเดินเข้าไป เขาส่งสัญญาณให้เหล่าทหารแยกย้ายออกไป ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง
พ่อของเธอหันมามองที่เอนวิน ในขณะที่เอนวินยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ ไม่แน่ใจปนประหลาดใจในอาการมองแบบนิ่งเงียบของเขา ในที่สุดเขาก็สั่งให้เอนวินออกมาจากที่นั่นเช่นกัน เอนวินจึงเข้าไปร่วมกับทหารคนอื่น ๆ ปล่อยให้ไคร่าอยู่เพียงลำพังกับพ่อของเธอ เธอเองก็ประหลาดใจเช่นกัน – เขาไม่เคยขอให้เอนวินออกมาก่อนเลย
ไคร่ามองขึ้นไปยังใบหน้าของพ่อเธอ เขามีสีหน้าที่ไม่มีใครคาดเดาได้เหมือนเช่นเคย เป็นสีหน้าที่นิ่งเฉยของผู้นำทหาร ไม่ใช่ใบหน้าของพ่อที่เธอเคยรู้จักและเคยรัก เขามองตรงลงมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกประหม่า ในขณะที่ความคิดหลายอย่างแล่นผ่านเข้ามาในหัวเธอในเวลาเดียวกัน: พ่อภูมิใจในตัวฉันหรือเปล่านะ? หรือเขาโกรธที่เธอเป็นคนจุดชนวนสงครามนี้ขึ้น? เขาผิดหวังหรือเปล่าที่ธีโอส์ขับไสไล่ส่งเธอและละทิ้งกองทหารของเขา?
ไคร่าได้แต่รอ เธอเคยชินกับการนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยปากบอกสิ่งใด และเธอไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ หลายสิ่งได้เปลี่ยนแปลงระหว่างทั้งสองในเวลาอันรวดเร็ว เธอรู้สึกเหมือนกับโตขึ้นมาในชั่วเวลาข้ามคืน ในขณะที่เขาเปลี่ยนไปจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับว่าทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์ดังเดิมได้อย่างไร เขายังคงเป็นพ่อที่เธอรู้จักและรักหรือไม่ คนที่อ่านนิทานให้เธอฟังก่อนเข้านอนตอนกลางคืนหรือเปล่า? หรือเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของเธอแล้วในตอนนี้?
เขายังยืนนิ่ง จ้องมอง และเธอคิดได้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไร ในขณะที่ความเงียบเริ่มกดดันคนทั้งสองมากยิ่งขึ้น มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน คบเพลิงที่เหล่าทหารจุดเพื่อขับไล่ความมืดในยามค่ำคืนส่องแสงวับวาวอยู่ด้านหลัง ในที่สุด ไคร่าก็ไม่อาจทนกับความเงียบได้อีกต่อไป
“พ่อจะนำสิ่งของเหล่านี้กลับไปที่โวลิสหรือ?” เธอถามขณะที่รถขนดาบวิ่งผ่านส่งเสียงโลหะกระทบกัน
เขาหันไปสำรวจรถคันนั้นและดูเหมือนว่าจะหลุดออกมาจากภวังค์ เขาไม่ได้หันกลับมายังไคร่า ยังคงมองไปที่รถในขณะที่ส่ายหัว
“โวลิสไม่มีสิ่งใดให้เราอีกต่อไปนอกจากความตาย” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มและเด็ดขาด “เรามุ่งหน้าไปทางใต้แล้วในขณะนี้”
ไคร่ารู้สึกประหลาดใจ
“ทางใต้หรือ?” เธอถาม
เขาพยักหน้า
“เอสเฟส” เขาเอ่ยออกมา
หัวใจของไคร่าท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเธอนึกภาพการเดินทางไปยังเอสเฟส ป้อมปราการอันแข็งแกร่งบนเกาะในทะเล เพื่อนบ้านที่ยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้ เธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อเธอนึกได้ว่า – การเดินทางไปที่แห่งนั้นมีความหมายแต่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น: เขากำลังตระเตรียมทำสงคราม
เขาพยักหน้า เหมือนจะอ่านใจเธอออก
“เราจะไม่หันหลังกลับไปอีกแล้ว” เขาบอก
ไคร่ามองพ่อของเธอด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนเป็นเวลาหลายปีแล้ว เขาไม่ใช่เพียงนักรบที่มีความพึงพอใจกับชีวิตวัยกลางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ปกป้องฐานทัพเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เขาคือผู้บัญชาการรบที่กล้าหาญที่สุดที่เคยได้รู้จัก ผู้ซึ่งยินดีจะเสี่ยงเพื่ออิสรภาพ
“เราจะไปกันเมื่อไร?” เธอถาม หัวใจเธอเต้นโครมคราม ด้วยความหวังที่จะทำศึกเป็นครั้งแรกในชีวิต
เธอต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเขาส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่เรา” เขาแก้ไข “ฉันและทหารของฉัน ไม่ใช่เธอ”
ไคร่ารู้สึกผิดหวัง คำพูดของเขาเปรียบเสมือนมีดที่กรีดดวงใจของเธอ
“พ่อจะทิ้งลูกไว้ที่นี่หรือ?” เธอถามอย่างตะกุกตะกัก “หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้นะหรือ? ลูกต้องทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ตัวเองกับพ่อได้?”
เขาส่ายหน้า ในขณะที่เธอรู้สึกสิ้นหวังที่เห็นแววตาอันหนักแน่นในสายตาของเขา สายตาแบบที่เธอรู้ดีว่า เขาจะไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน
“ลูกจะต้องไปหาลุงของเจ้า” เขาบอก มันเป็นคำสั่งไม่ใช่การขอร้อง และด้วยคำพูดเหล่านี้ เธอรู้ดีถึงสถานะของเธอในเวลานี้ เธออยู่ในสถานะของทหารคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกของเขา ความรู้สึกนี้เจ็บปวดไม่น้อย
ไคร่าหายใจเข้าลึก – เธอจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก
“แต่ลูกต้องการต่อสู้เคียงข้างพ่อ” เธอยืนยัน “ลูกช่วยพ่อได้”
“เธอ จะ ได้ช่วยฉันแน่” เขาบอก “ด้วยการไปยังสถานที่ที่ต้องการลูก และพ่อต้องการให้เธอไปอยู่กับลุง”
เธอขมวดคิ้ว พยายามทำความเข้าใจ
“แต่ทำไม่ล่ะ?” เธอถาม
เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ จนในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ
“ลูกมี ...” เขาเริ่มพูด “...ทักษะ ที่พ่อเองก็ไม่เข้าใจ ทักษะที่เราต้องการเพื่อที่จะชนะในศึกสงครามครั้งนี้ ทักษะที่มีเพียงลุงของลูกเท่านั้นที่รู้ว่าจะฟูมฟักอย่างไร”
เขายื่นมือออกมาจับไหล่ของเธออย่างมีความหมาย
“หากลูกต้องการช่วยเราแล้วละก็” เขาเสริม “หากลูกต้องการช่วยผู้คนของเรา ที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่ต้องการลูก พ่อไม่ต้องการทหารเพิ่มอีกหนึ่งคน – พ่อต้องการความสามารถอันโดดเด่นที่ลูกมีอยู่ ทักษะที่ไม่มีใครมีเสมอเหมือน”
เธอมองเห็นถึงความกระตือรือร้นในดวงตาของเขา แม้ว่าเธอจะรู้สึกแย่ที่ไม่สมหวังที่จะติดตามเขาไป เธอรู้สึกว่าได้รับคำยืนยันจากคำพูดของเขา – ประกอบกับความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เธอสงสัยว่าทักษะที่เขาพูดนี้หมายถึงอะไร และยิ่งสงสัยว่าลุงของเธอคือใคร
“ไปและเรียนรู้ในสิ่งที่พ่อไม่สามารถสอนลูกได้” เขาพูดต่อ “กลับมาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น และมาช่วยให้พ่อมีชัยชนะ”
ไคร่ามองไปที่ดวงตาของเขา และเธอรู้สึกได้ถึงความเคารพ และความอบอุ่นที่ได้รับกลับคืนมา ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
“การเดินทางไปเออร์เป็นระยะทางที่ไกลมาก” เขาเสริม “ใช้เวลาขี่ม้าถึง 3 วันเต็มไปทางตะวันตกและขึ้นเหนือ ลูกจะต้องข้ามเอสคาลอนโดยลำพัง ต้องขี่ม้าด้วยความรวดเร็ว ต้องซ่อนตัว และต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางถนน เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ในไม่ช้าจะแพร่กระจายออกไป และลอร์ดแห่งแพนดีเซียจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เส้นทางถนนจึงมีอันตรายมาก ลูกต้องใช้เส้นทางในป่า ขี่ขึ้นเหนือมองหาทะเล และพยายามมองทะเลไว้ เพราะมันคือเข็มทิศของลูก เดินทางไปตามแนวชายทะเล แล้วลูกจึงจะเจอเออร์ หลีกเลี่ยงหมู่บ้าน หลีกเลี่ยงผู้คน จงอย่าหยุด จงอย่างบอกใครเป็นอันขาดว่าลูกจะไปที่ไหน และอย่าพูดกับใครเด็ดขาด”
เขาจับไหล่เธอแน่น ด้วยแววตาที่เศร้าหมองและดูเร่งรีบ มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบ
“ลูกเข้าใจพ่อไหม?” เขาเรียกร้อง “มันเป็นการเดินทางที่อันตรายสำหรับผู้ชายก็ตาม – ไม่ต้องพูดถึงหากเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องเดินทางเพียงลำพัง พ่อไม่อาจหาคนไปเป็นเพื่อนเธอได้ พ่อต้องการให้ลูกมีความเข้มแข็งพอที่จะทำสิ่งนี้เพียงผู้เดียว ทำได้ไหม?”
เธอรับรู้ได้ถึงความกลัวในเสียงของเขา เป็นความรักของพ่อผู้ห่วงลูก และเธอพยักหน้ารับ รู้สึกภาคภูมิใจว่าเขาเชื่อใจให้เธอปฏิบัติภารกิจนี้
“ลูกทำได้ ท่านพ่อ” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ
เขาสังเกตเธอ แล้วในที่สุดก็พยักหน้า ด้วยความพึงพอใจ ในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็เอ่อล้นด้วยน้ำตา
“ในบรรดาคนทั้งหมดที่มี” เขาบอก “บรรดานักรบทั้งหมดเหล่านี้ ลูกเป็นคนซึ่งพ่อต้องการมากที่สุด ไม่ใช่พี่ ๆ ของเธอหรือแม้แต่ทหารที่ไว้ใจได้ มี เธอ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถนำชัยในศึกสงครามนี้ได้”
ไคร่ารู้สึกสับสนและท่วมท้นในเวลาเดียวกัน เธอยังไม่เข้าใจเต็มที่นักว่าเขาหมายความว่าอะไร ขณะที่จะเอ่ยปากถาม เธอก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา
เธอหันไปเห็นเบย์เลอร์ ผู้ดูแลม้าของพ่อของเธอ เขาเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย ชายร่างอ้วนเตี้ย คิ้วดกหนา ผมเป็นเส้นเหมือนเส้นด้าย เขาเดินเข้ามาหาคนทั้งสองด้วยท่าทีวางโตและยิ้มให้เธอ หลังจากนั้นจึงมองพ่อของเธอเหมือนกับรอการอนุญาตจากเขา