พ่อของเธอพยักหน้าอนุญาต ไคร่าเริ่มประหลาดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เบย์เลอร์หันมาทางเธอ
“ผมได้รับทราบมาว่าท่านกำลังจะเดินทาง” เบย์เลอร์บอก เสียงขึ้นจมูก “สำหรับภารกิจนี้ ท่านต้องมีม้าสักตัวหนึ่ง”
ไคร่าขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“แต่ฉันมีม้าอยู่แล้ว” เธอตอบ มองข้ามไปยังม้าพันธุ์ดีที่เธอขี่มาโดยตลอดที่ทำสงครามกับเหล่าทหารของท่านลอร์ด ที่ผูกอยู่ฝั่งตรงข้ามของสนาม
เบย์เลอร์ยิ้ม
“นั่นมันไม่ใช่ม้า” เขาบอก
เบย์เลอร์มองไปที่พ่อของเธออีกครั้ง และพ่อของเธอพยักหน้า ในขณะที่ไคร่าพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ตามผมมา” เขาบอก “แล้วท่านจะไม่เสียใจเลย”
*
ไคร่าเดินข้ามสนามที่มีหิมะปกคลุมไปกับเบย์เลอร์ โดยมีเอนวิน อาร์ทฟอล และวิดาร์ไปเป็นเพื่อน ทั้งหมดเดินอย่างกระตือรือร้นไปยังคอกม้าที่สร้างจากหินที่อยู่ด้านล่าง ไกลออกไป ในขณะที่เดินไปนั้น ไคร่าประหลาดใจว่าที่เบย์เลอร์พูดมีความหมายว่าอย่างไร สงสัยว่าม้าแบบไหนกันนะที่เขาเตรียมไว้ให้เธอ เพราะในความคิดของเธอแล้ว ม้าตัวไหน ๆ ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร
ในขณะที่พวกเขาเดินมาถึงส่วนขยายของคอกม้าหินที่มีความยาวอย่างน้อย 100 หลา เบย์เลอร์หันมาหาเธอ ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความดีใจ
“บุตรสาวของท่านลอร์ดของเราต้องการม้าที่ดีเยี่ยมเพื่อนำเธอไปในที่ที่เธอต้องการเดินทางไป”
หัวใจของไคร่าเต้นเร็วขึ้น เธอไม่เคยได้รับม้าจากเบย์เลอร์มาก่อนเลย เกียรติยศระดับนี้มักสงวนไว้สำหรับนักรบผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น เธอเคยฝันว่าจะเป็นเจ้าของม้าสักตัวเมื่อเธอโตพอ และเมื่อเธอคู่ควรที่จะได้ครอบครองมัน มันเป็นเกียรติที่แม้แต่พี่ชายของเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้รับ
เอนวินพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“เธอคู่ควรแล้ว” เขาบอก
“หากเธอสามารถรับมือกับมังกรได้” อาร์ทฟอลเสริมด้วยรอยยิ้ม “เธอย่อมสามารถควบคุมเจ้าแห่งม้าได้แน่”
เมื่อคอกม้าปรากฏขึ้น กลุ่มคนขนาดเล็กเริ่มล้อมวงเข้ามา ร่วมเดินไปกับพวกเขา คนเหล่านี้หยุดพักจากการเก็บรวบรวมอาวุธ และสนใจใคร่รู้ว่าเขากำลังนำเธอไปที่ไหน พี่ชายทั้งสองของเธอ ได้แก่ แบรนดอน และแบรกซ์ตันเข้ามารวมกลุ่มด้วย เหลือบมองมาที่ไคร่าด้วยดวงตาแห่งความอิจฉาแต่ไม่กล่าวอะไร พวกเขารีบมองไปทางอื่นโดยทันที ด้วยความหยิ่งทะนงเหมือนที่เคย แทนที่จะชื่นชมกับเธอ กลับรู้สึกไม่ยินดียิ่งขึ้นเมื่อเธอได้รับคำชม จริง ๆ แล้วเธอไม่คาดหวังอะไรจากพี่ชายทั้งสองคนนี้เลย
ไคร่าได้ยินเสียงฝีเท้าจึงมองตามเสียงไป และดีใจที่เห็นเดียร์ดรี เพื่อนของเธอ เข้ามาร่วมกลุ่มกับเธอด้วย
“ฉันได้ยินว่าเธอกำลังจะไป” เดียร์ดรีบอกขณะที่เดินเข้ามาเคียงข้าง
ไคร่าเดินเคียงข้างเพื่อนใหม่ของเธอ รู้สึกอุ่นใจที่เห็นเพื่อนของเธอ เธอนึกย้อนกลับไปเมื่อเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องขังของท่านลอร์ด ทั้งความทุกข์ทรมานที่ทั้งสองต้องทน การหลบหนี และเธอรู้สึกถึงความผูกพันที่มีกับเพื่อนคนนี้โดยทันที เดียร์ดรีต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากปานนรกมากกว่าเธอมากนัก ในขณะที่เธอเหลือบมองเพื่อนคนนี้ เธอสังเกตเห็นสีดำใต้ขอบตาทั้งสองข้าง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความทุกทรมานและความเศร้าที่ยังคงอยู่ในตัวเธอ ทำให้เธอสงสัยว่าสิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้เธอเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจปล่อยเพื่อนคนนี้ให้อยู่โดยลำพังในป้อมปราการแห่งนี้ได้ ทั้งกองทัพกำลังเคลื่อนลงสู่ทิศใต้ เดียร์ดรีจะต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง
“ฉันควรมีเพื่อนร่วมเดินทางด้วย” ไคร่าบอก แนวคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเธอเอ่ยปาก
เดียร์ดรีมองไปที่ดวงตาของไคร่า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ ตามมาด้วยการฉีกยิ้มกว้าง สัญญาณแห่งความหนักใจในตัวเธอเริ่มลดลง
“ฉันกำลังหวังอยู่ว่าเธอจะเอ่ยปากชวน” เธอตอบ
เอนวินได้ยินดังนั้นมีสีหน้าตึงเครียดทันที
“ฉันไม่แน่ใจนะว่าพ่อของเธอจะอนุญาต” เขาแทรกเข้ามา “เธอมีภารกิจสำคัญอยู่ตรงหน้าในขณะนี้”
“ฉันจะไม่ขัดขวางแน่นอน” เดียร์ดรีบอก “ฉันต้องเดินทางข้ามเอสคาลอนอยู่แล้ว ฉันกำลังเดินทางกลับไปหาพ่อ คงเป็นการดีถ้าไม่ต้องเดินทางโดยลำพัง”
เอนวินเอามือลูบเครา
“พ่อของเธอต้องไม่ชอบใจแน่” เขาบอกกับไคร่า “เธออาจเป็นภาระ”
ไคร่าจับข้อมือของเอนวินเพื่อให้ความมั่นใจกับเขา
“เดียร์ดรีเป็นเพื่อนของฉันนะ” เธอบอก เพื่อยุติเรื่องนี้ “ฉันจะไม่ทอดทิ้งเธอ เฉกเช่นที่เธอจะไม่ทิ้งเหล่าทหารของเธอเช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกแก่ฉันมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ไม่ทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง”
ไคร่าถอนหายใจ
“ฉันอาจเป็นคนช่วยเดียร์ดรีออกมาจากห้องขังก็จริง” ไคร่าเสริม “แต่เธอได้ช่วยชีวิตฉันไว้เช่นกัน ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอ ฉันขอโทษนะ แต่สิ่งที่ท่านพ่อของฉันคิดอาจมีเหตุผลเพียงเล็กน้อย เพราะเป็น ฉัน คนเดียวมิใช่หรือที่ต้องเดินทางข้ามเอสคาลอน ไม่ใช่เขา เดียร์ดรีจะเดินทางไปกับฉัน”
เดียร์ดรียิ้ม เธอก้าวเข้ามาเคียงข้างไคร่าและคล้องแขนเธอด้วยความภาคภูมิใจ ไคร่ารู้สึกดีกับความคิดที่ว่าจะมีเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน และเธอมั่นใจว่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไคร่าสังเกตเห็นพี่ของเธอเดินอยู่ข้าง ๆ และเธออดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ว่าพวกเขามีความรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่สามารถปกป้องเธอได้ ทำให้เธอรู้เศร้าเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกเขา ถึงอย่างนั้น เธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ เธอตระหนักดีว่า ต้องรู้สึกดีขึ้นในไม่ช้า พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความอวดดี และย่อมทำอะไรผลีผลามที่อาจทำให้เธอได้รับอันตรายได้
“ฉันอยากไปกับเธอด้วยนะ” เอนวินบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรู้สึกผิด “ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรกับแนวคิดของการเดินทางข้ามเอสคาลอน” เขาถอนหายใจ “แต่พ่อของเธอต้องการให้ฉันช่วยในช่วงเวลาเช่นนี้ ท่านได้ขอให้ฉันไปกับท่าน เดินทัพลงใต้”
“และฉัน” อาร์ทฟอลเสริม “ฉันอยากไปกับเธอด้วยเช่นกัน – แต่ฉันได้รับคำสั่งให้ไปทางใต้เหมือนกัน”
“สำหรับฉันได้รับคำสั่งให้อยู่ที่นี่เพื่อรักษาโวลิสเมื่อท่านไม่อยู่” วิดาร์เสริม
ไคร่ารู้สึกซาบซึ้งในความปรารถนาดี
“อย่ากังวลไปเลย” เธอตอบ “เพียงแค่การขี่ม้าเป็นเวลา 3 วันเท่านั้น ฉันต้องปลอดภัย”
“เธอจะปลอดภัย” เบย์เลอร์แทรกเข้ามา ก้าวเข้ามาใกล้ “และม้าตัวใหม่ของเธอจะทำให้เธอเป็นเช่นนั้น”
พูดจบ เบย์เลอร์ก็ผลักประตูคอกม้าเปิดกว้าง และพวกเขาเดินตามเขาเข้าไปในอาคารที่มีหลังคาต่ำ ที่มีกลิ่นม้าฉุนในอากาศ
สายตาของไคร่าค่อย ๆ ปรับให้เข้ากับแสงสลัว ขณะที่เธอเดินตามเขาเข้าไปในคอกม้าที่อับชื้นและเย็น เต็มไปด้วยเสียงของม้าที่แสดงออกถึงความตื่นเต้น เธอมองไปขึ้นและลงตามแถวคอกม้า และเห็นม้าที่สวยงามที่สุดที่เธอเคยพบเห็น – ม้าตัวใหญ่ แข็งแรง สวยงาม สีดำและสีน้ำตาล แต่ละตัวล้วนเป็นผู้ชนะ ที่นี่นับเป็นขุมทรัพย์จริง ๆ
“เหล่าทหารของท่านลอร์ดเก็บม้าที่ดีที่สุดไว้ให้ตัวเอง” เบย์เลอร์อธิบายในขณะที่พวกเขาเดินไป ด้วยท่าทีกร่างตามแบบฉบับของเขา เขาสัมผัสม้าตัวหนึ่ง ตบเบา ๆ ที่อีกตัวหนึ่ง และดูเหมือนว่าสัตว์เหล่านี้กลับกลายเป็นมีชีวิตเมื่อเขาอยู่ใกล้
ไคร่าเดินอย่างเชื่องช้า สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง ม้าแต่ละตัวเป็นเหมือนงานศิลปะ แต่ละตัวมีขนาดใหญ่กว่าม้าส่วนใหญ่ที่เธอเคยเห็นมา เต็มไปด้วยความสวยงามและทรงพลัง
“ต้องขอบคุณเธอ และมังกรของเธอ ม้าเหล่านี้เป็นของเราแล้วในเวลานี้” เบย์เลอร์พูด “เพียงแต่เลือกเท่านั้น พ่อของเธอบอกกำชับว่าให้เธอเป็นคนเลือกคนแรก ก่อนที่ท่านจะได้เลือกเสียด้วยซ้ำ”
ไคร่ารู้สึกตื้นตัน เธอมองไปที่คอกม้า รู้สึกได้ถึงภาระแห่งความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ด้วยรู้ว่าครั้งนี้นับเป็นโอกาสเดียวในชีวิต
เธอเดินช้า ๆ มือลูบไล้ไปที่ขนที่แผงคอของพวกมัน รู้สึกได้ถึงความนุ่ม เรียบลื่น และพลัง เธอไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกตัวไหน
“ฉันจะเลือกยังไง?” เธอถามเบย์เลอร์
เขายิ้มและส่ายหัว
“ผมฝึกม้ามาตลอดชีวิต” เขาตอบ “ผมเลี้ยงพวกมันด้วย และหากมีเพียงสิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับม้าละก็ ไม่มีม้าตัวใดเลยที่เหมือนกัน บางตัวถูกเลี้ยงมาให้มีความเร็ว บางตัวเพื่อความแข็งแรง บางตัวเพื่อพละกำลัง ในขณะที่บางตัวเพื่อบรรทุกสัมภาระ ม้าบางตัวหยิ่งทระนงมากเกินกว่าจะยอมบรรทุกสิ่งใด สำหรับตัวอื่น ๆ ถูกสร้างมาเพื่อทำสงคราม บางตัวเหมาะกับการต่อสู่เพียงครั้งเดียวบนหลังม้า บางตัวเพียงแค่อยากต่อสู้เท่านั้น ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ถูกสร้างเพื่อทำสงครามแบบมาราธอน บางตัวอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ บางตัวอาจเบือนหน้าหนีจากเธอ สัมพันธภาพระหว่างคนกับม้านับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันต้องเป็นฝ่ายเลือกเธอ และเธอก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกมันเช่นกัน เลือกให้ดี และม้าตัวนั้นจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ไม่ว่าจะต้องสู้ศึกหรือในสมรภูมิ ไม่มีนักรบคนใดเลยที่จะเป็นนักรบที่สมบูรณ์ได้โดยปราศจากอาชาเคียงข้าง”
ไคร่าเดินช้า ๆ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น เดินผ่านม้าตัวแล้วตัวเล่า บางตัวมองมาที่เธอ บางตัวหันมองไปทางอื่น บางตัวส่งเสียงร้อง บางตัวใช้ขาหน้ากระทืบพื้นด้วยความใจร้อน บางตัวยืนนิ่ง เธอรอดูว่ามีตัวไหนที่จะเชื่อมต่อกับเธอหรือไม่ แต่เธอไม่รู้สึกถึงการเชื่อมต่อนั้นเลย และนั่นทำให้เธอรู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เธอรู้สึกเย็นวาบที่ไขสันหลังโดยฉับพลัน เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัวเธอ ตามด้วยเสียงแหลมดังก้องอยู่ในคอกม้า เสียงที่จะบอกเธอว่า นั่นแหละม้าตัวที่ใช่ เสียงของมันไม่เหมือนเสียงม้าโดยทั่วไป – แต่เสียงที่เปล่งออกมามีลักษณะที่เน้นหนักมากกว่า มีพลังมากกว่าม้าตัวอื่น ๆ เสียงนั้นดังเด่นชัดเหนือเสียงม้าตัวอื่นทั้งหมด เหมือนเสียงของราชสีห์เจ้าป่าที่พยายามจะปลดตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เสียงนั้นทั้งน่ากลัว และ – ในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูดเธอเข้าไปหา
ไคร่าหมุนตัวหาต้นเสียง และมาหยุดตรงที่ตอนปลายของคอกม้า เมื่อมาถึงเธอได้เห็นไม้ล้มลง เห็นคอกม้ากระจัดกระจาย และเศษไม้ปลิวไปทั่วทุกทิศ หลายคนรีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ พยายามที่จะปิดประตูไม้ที่หักพังแล้ว เจ้าม้ายังคงถีบประตูด้วยกีบหน้าทั้งสองข้าง
ไคร่ารีบเร่งไปยังจุดที่เสียงดังเอะอะนั้น
“เธอกำลังจะไปไหน?” เบย์เลอร์ถาม “ม้าที่ดีเลิศอยู่ที่นี่”
แต่ไคร่าไม่สนใจเขา เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น หัวใจเธอเต้นเร็วยิ่งขึ้นตามจังหวะการเดิน เธอรู้ว่ามันกำลังเรียกหาเธออยู่
เบย์เลอร์และคนที่เหลือพยายามที่จะรั้งตัวเธอไว้ในขณะที่เธอเดินมาจนเกือบสุดคอกม้า และเมื่อเดินมาถึง เธอหันไปพบกับภาพที่ทำให้เธอต้องอ้าปากค้าง เพราะที่ยืนอยู่ดูเหมือนจะเป็นม้า แต่มีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของม้าทั่วไป ขาใหญ่หนาเหมือนลำต้นไม้ มันมีเขาเล็ก ๆ ที่แหลมคมเหมือนใบมีด ที่มองแทบไม่เห็นอยู่หลังใบหู ผิวหนังของมันไม่ได้เป็นสีน้ำตาลหรือสีดำเหมือนตัวอื่น แต่เป็นสีแดงเลือดนกที่เข้มเป็นประกาย – และดวงตาของมันต่างจากม้าตัวอื่นเช่นกัน ดวงตาของมันเป็นสีเขียวสุกใส ดวงตาทั้งคู่เพ่งจ้องมาที่เธอ เกิดความรู้สึกจุกแน่นพุ่งขึ้นมาที่อกจนเธอแทบหยุดหายใจ เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เลย
เจ้าสัตว์ตัวนั้นยืนตระหง่านอยู่เหนือเธอ ทำเสียงคำรามอย่างดุดัน เผยให้เห็นเขี้ยวในปากของมัน
“นี่มันม้าอะไร?” เธอถามเบย์เลอร์ เสียงของเธอแผ่วเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ
เขาส่ายหัวแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“นั่นมันไม่ใช่ม้า” เขามีสีหน้าบูดบึ้ง “แต่เป็นสัตว์ดุร้าย เจ้าตัวประหลาด พบเห็นได้ยากมาก มันคือโซลเซอร์ ที่นำเข้าจากดินแดนไกลโพ้นชายแดนของแพนดีเซีย ลอร์ด โกเวิร์นเนอร์คงจะเก็บมันเอาไว้ตั้งโชว์เหมือนเป็นถ้วยรางวัล เขาไม่สามารถขี่เจ้าสัตว์ตัวนี้ได้ – ไม่มีใครที่สามารถ โซลเซอร์เป็นสัตว์ที่ดุร้าย ไม่สามารถทำให้เชื่องได้ มาเถอะ – เธอเสียเวลาอันมีค่ายิ่ง กลับไปเลือกม้ากันต่อดีกว่า”
แต่ไคร่ายังยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนมีรากยึดติดอยู่กับพื้น ไม่สามารถละสายตาไปจากสัตว์ตัวนั้นได้ หัวใจเธอเต้นรัวยิ่งรู้ว่าสัตว์ตัวนี้เป็นของเธอ
“ฉันเลือกตัวนี้” เธอกล่าวกับเบย์เลอร์
เบย์เลอร์และคนอื่น ๆ พากันอ้าปากค้าง ทั้งหมดมองมาที่เธอ ราวกับเธอเป็นบ้าไปแล้ว ทั้งหมดพากันเงียบด้วยความตกตะลึง
“ไคร่า” เอนวินเริ่มต้นก่อน “ท่านพ่อของเธอจะไม่มีทางอนุญาตให้เธอ—”
“ฉันเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่หรือ” เธอตอบ
เขามีสีหน้าบูดบึ้งและยกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอว
“นั่นมันไม่ใช่ม้า!” เขายืนยัน “มันเป็นสัตว์ป่า”
“ในไม่ช้ามันจะฆ่าเธอ” เบย์เลอร์เสริม
ไคร่าหันไปหาเบย์เลอร์
“ก็คุณไม่ใช่หรือที่บอกให้ฉันเชื่อสัญชาติญาณของฉันเอง?” เธอถาม “แล้วเจ้าตัวนี้ก็พาฉันมาที่นี่ เจ้าสัตว์ตัวนี้กับตัวฉันสามารถสื่อถึงกันได้”
ทันใดนั้น เจ้าโซลเซอร์ก็ยกขาอันใหญ่โตของมันถีบประตูไม้อีกบานกระเด็น เศษไม้เล็ก ๆ กระเด็นไปทั่ว ในขณะที่ผู้คนพากันแตกตื่น ไคร่ารู้สึกกลัวเกรง มันเป็นสัตว์ป่าที่ไม่เชื่องและยิ่งใหญ่ สัตว์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสถานที่แบบนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะถูกจับขังไว้ และเหนือกว่าสัตว์ตัวอื่นอย่างมาก
“ทำไมเธอถึงคู่ควรที่จะได้มันล่ะ?” แบรนดอนถาม ขณะที่ก้าวมาข้างหน้าและดันคนอื่นให้หลีกทาง “ฉันอายุมากกว่า และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากได้มัน”
ก่อนที่ไคร่าจะได้เอ่ยอะไร แบรนดอนก้าวมาข้างหน้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของด้วย เขากระโดดขึ้นบนหลังของมัน และเมื่อเขาทำเช่นนั้น โซลเซอร์ก็เหวี่ยงตัวอย่างรุนแรงจนร่างของเขาลอยละลิ่วข้ามคอกม้าไปกระแทกผนัง
แบรกซ์ตันจึงก้าวเข้ามาแทนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเช่นกัน และมันก็เหวี่ยงหัวและกรีดแขนแบรกซ์ตันด้วยเขี้ยวของมัน
เมื่อมีเลือดออก แบรกซ์ตันกรีดร้องและวิ่งออกไปจากคอกม้า เอามือกุมแขนตัวเองไว้ แบรกซ์ตันพยุงกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล และก้าวเท้าออกไป ทำให้โซลเซอร์กัดไม่โดน
ไคร่ายืนนิ่งเงียบ แต่ไม่รู้สึกหวาดกลัว เธอรู้ว่าหากเป็นเธอแล้วละก็ มันจะต้องปฏิบัติต่อเธอแตกต่าง เธอรู้สึกว่าเธอกับเจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนี้สามารถเชื่อมต่อกันได้ ในลักษณะเดียวกับที่เธอมีกับธีโอส์
ทันใดนั้น ไคร่าก็ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างกล้าหาญ และยื่นอยู่ตรงหน้ามัน ในระยะที่สามารถตายได้จากเขี้ยวของมัน เธอต้องการแสดงให้โซลเซอร์เห็นว่าเธอเชื่อใจมัน
“ไคร่า!” เอนวินตะโกน มีความกังวลในน้ำเสียง “ถอยมา!”
แต่ไคร่าไม่ใส่ใจ เธอยังยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองเจ้าสัตว์ที่ดวงตา
เจ้าสัตว์ร้ายจ้องตอบ เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอ เหมือนกับกำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ ไคร่าสั่นด้วยความกลัว แต่เธอไม่ยอมให้ใครเห็น
เธอบังคับตัวเองให้แสดงความกล้าหาญออกมา เธอยกมือขึ้นช้า ๆ ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า และสัมผัสผิวหนังสีเลือดนกของมัน มันคำรามดังขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยว และเธอสัมผัสได้ถึงความโกรธและความความคับข้องใจของมัน
“ปลดล็อกโซ่ให้มัน” เธอสั่งการ
“อะไรนะ?” หนึ่งในนั้นร้องออกมา
“นั่นมันไม่ฉลาดเลยนะ” เบย์เลอร์ร้อง เสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ทำตามที่ฉันสั่ง!” เธอยืนยัน รู้สึกถึงความเข้มแข็งที่ก่อนตัวเพิ่มขึ้นภายในตัวเธอ เหมือนสัตว์ตัวนี้กำลังส่งผ่านความต้องการของมันมาหาเธอ
ด้านหลังมีทหารวิ่งมาพร้อมกุญแจ และปลดล็อกโซ่ตรวน ตลอดเวลา เจ้าสัตว์ป่าตัวนั้นไม่ละสายตาออกจากเธอเลยแม้แต่น้อย ยังคงคำรามเหมือนกับจะท้าทายเธอ
ทันทีที่มันเป็นอิสระจากโซ่ตรวน มันก็กระทืบเท้า ทำท่าพร้อมที่จะจู่โจม
แต่น่าประหลาดตรงที่มันไม่จู่โจม แต่กลับจ้องมองไคร่าอย่างแน่นิ่ง และค่อย ๆ เปลี่ยนจากท่าทีที่โกรธเกรี้ยวมาเป็นท่าทีที่ยอมรับ บางทีอาจเป็นความกตัญญูรู้คุณก็ได้
แม้จะเล็กน้อย เจ้าสัตว์ตัวนี้ดูเหมือนว่าจะค้อมหัวลงต่ำ มันเป็นท่าทีที่แทบจะสังเกตไม่เห็น แต่เธอก็รับรู้ได้
ไคร่าก้าวไปข้างหน้า จับที่แผงคอของมัน และในภายในเวลาอันรวดเร็ว กระโดดขึ้นขี่
ทุกคนในห้องถึงกับตะลึง
ในตอนแรก เจ้าสัตว์เริ่มผงกหัวเตรียมจะสะบัด แต่ไคร่ารับรู้ได้ว่ามันทำท่าไปอย่างนั้นเอง มันไม่ได้อยากจะสลัดเธอทิ้งหรอก – มันเพียงต้องการแสดงออกถึงการต่อต้าน ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุม และจำกัดให้เธออยู่แต่ในขอบเขต มันต้องการให้เธอรู้ว่ามันเป็นสัตว์ป่า ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่องได้
ฉันไม่ได้ต้องการที่จะทำให้เธอเชื่องหรอก เธอสื่อสารกับมันทางสายตา ฉันเพียงต้องการให้เราเป็นคู่หูในศึกสงครามเท่านั้น
โซลเซอร์สงบลง แต่ยังขยับตัวไปมา ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับเข้าใจในสิ่งที่เธอบอก ในไม่ช้า มันก็หยุดเคลื่อนไหว อยู่นิ่งสนิทภายใต้เธอ ส่งเสียงคำรามไปยังผู้อื่น เหมือนต้องการปกป้องเธอ
ไคร่านั่งอยู่บนหลังของโซลเซอร์ด้วยความสงบ มองลงมายังทุกคน คลื่นแห่งความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าที่มองมายังเธอ ทุกคนอ้าปากค้าง
ไคร่าค่อย ๆ ยิ้มเต็มที่ รู้สึกถึงสัมผัสของความยิ่งใหญ่
“และนี่” เธอพูด “นี่คือตัวเลือกของฉัน และชื่อของเขาคือ แอนดอร์”
*
ไคร่าขี่แอนดอร์ไปยังตรงกลางสนามของอาร์โกส์ ต่อหน้าทหารทั้งหมดของพ่อของเธอ ทหารผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต้องหยุดและมองเธอด้วยความเกรงขาม แน่นอนว่าพวกเขายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
ไคร่าจับขนที่แผงคออย่างอ่อนโยน พยายามปลอบประโลมให้เขาสงบในขณะที่เขาคำรามเบา ๆ ไปที่ทหารเหล่านั้น สายตาจ้องมองเหมือนมีความโกรธแค้นที่จับมันขังไว้ ไคร่าพยายามปรับความสมดุล เบย์เลอร์วางอานหนังสัตว์ใหม่เอี่ยมบนตัวเขา และพยายามทำความคุ้นเคยกับการขี่พาหนะที่สูงเช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมมากเมื่อขี่เจ้าสัตว์ตัวนี้
เคียงข้างเธอมีเดียร์ดรีที่ขี่ม้าตัวเมียที่สวยงามที่เบย์เลอร์เลือกให้ และทั้งสองขี่พาหนะผ่านไปบนหิมะจนกระทั่งไคร่ามองเห็นพ่อของเธอจากระยะไกล ยืนอยู่ที่บริเวณประตูรอเธออยู่ เขายืนอยู่กับเหล่าทหาร ทั้งหมดมารอส่งเธอ และทั้งหมดก็มองมาที่เธอด้วยความกลัวและความเกรงกลัวเช่นกันที่เห็นเธอสามารถขี่สัตว์ตัวนี้ได้ เธอเห็นสายตาแห่งความชื่นชม และนั่นทำให้เธอมีความกล้าหาญสำหรับการเดินทางที่กำลังจะมาถึง หากธีโอส์ไม่กลับมาหาเธอ อย่างน้อยเธอก็ยังมีสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ตัวนี้
ไคร่าลงจากหลังแอนดอร์เมื่อเธอมาถึงพ่อของเธอ เธอจับที่แผงคอเพื่อนำทางเขา ในขณะที่มองเห็นความกังวลในดวงตาของพ่อเธอ เธอไม่รู้แน่ว่าเป็นความกังวลในสัตว์ตัวนี้หรือการเดินทางข้างหน้ากันแน่ อย่างน้อย สายตาแห่งความกังวลทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่มีความกลัวต่อหนทางข้างหน้า และพ่อของเธอมีความห่วงใยในตัวเธอไม่ใช่น้อย ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาผ่อนท่าทีอันแข็งกร้าวลงและมองเธอด้วยแววตาที่เธอคุ้นเคย: นั่นคือความรักของผู้เป็นพ่อ เธอรู้ว่าเขาต้องฝืนใจตนเองไม่ใช่น้อยที่ส่งเธอไปปฏิบัติภารกิจนี้
เธอหยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ฟุต เผชิญหน้าพ่อของเธอ เหล่าทหารที่รวมพลอยู่ที่นั่นเงียบเพื่อรอฟังบทสนทนา
เธอยิ้มให้เขา
“อย่างกังวลไปเลย ท่านพ่อ” เธอบอก “ท่านเลี้ยงลูกมาให้เข้มแข็ง”
เขาพยักหน้าตอบ ทำทีว่ายอมรับ – แต่เธอย่อมมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อย เขายังมีความเป็นพ่ออยู่
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“หากเพียงเจ้ามังกรกลับมาหาลูกในเวลานี้” เขาบอก “เธออาจข้ามเอสคาลอนในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น หรือดีกว่านั้น – มันอาจร่วมเดินทางกับเธอและพ่นไฟใส่ใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางเธอ”
ไคร่ายิ้มอย่างเศร้า ๆ
“ธีโอส์จากเราไปแล้ว ท่านพ่อ”
เขามองมาที่ดวงตาของเธอ เปี่ยมด้วยความประหลาดใจ
“ตลอดกาลหรือ?” เขาถาม เป็นคำถามที่ผู้นำกองทหารเข้าสู่สมรภูมิเช่นเขาปรารถนาอยากรู้แต่กลัวที่จะถาม
ไคร่าปิดตาและพยายามรับรู้ถึงการโต้ตอบของมังกร เธอประสงค์ให้มังกรตอบเธอ
แต่เธอไม่ได้รับสัมผัสใด ๆ เลย และนั่นทำให้เธอเริ่มสงสัยว่าเธอสามารถเชื่อมต่อกับมังกรได้ตั้งแต่ต้นหรือไม่ หรือเพียงแต่จินตนาการไปเท่านั้น
“ลูกไม่ทราบ ท่านพ่อ” เธอตอบแบบซื่อ ๆ
เขาพยักหน้าอย่างยอมรับ เป็นสีหน้าของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็นและพยายามที่จะพึ่งตนอง
“จำที่ฉัน –” พ่อเธอเริ่มประโยค
“ไคร่า!” เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังแทรกเข้ามา
ไคร่าหันไปตามเสียง ในขณะที่เหล่าทหารขยับตัวเป็นช่องทาง และใจเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีที่ได้เห็นเอแดนวิ่งผ่านประตูเมืองเข้ามา พร้อมลีโออยู่เคียงข้าง ทั้งสองกระโดดลงจากรถที่ขับโดยทหารของท่านพ่อของไคร่า เขาวิ่งตรงมาที่เธออย่างทุลักทุเลเพราะหิมะ ลีโอรวดเร็วกว่าไอเดนมาก วิ่งนำหน้าและกระโดดเข้ามายังอ้อมแขนของไคร่า