กำเนิดความกล้าหาญ - Морган Райс 4 стр.


ไคร่าหัวเราะในขณะที่ลีโอกระโจนทับตัวเธอ ขาทั้งสี่ยืนอยู่บนหน้าอก และเลียไปที่ใบหน้าของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอนดอร์คำรามอยู่ด้านหลัง พร้อมที่จะปกป้องเธอ ลีโอกระโจนขึ้นเผชิญหน้าและคำรามตอบ สิ่งมีชีวิตทั้งสองล้วนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และทั้งคู่ต้องการปกป้องเธอ ทำให้ไคร่ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง

เธอกระโดดขึ้นขวางระหว่างสัตว์ทั้งสอง ดึงลีโอไว้

“ไม่เป็นไร ลีโอ” เธอบอก “แอนดอร์เป็นเพื่อนของฉัน และแอนดอร์” เธอบอกพลางหันกลับไป “ลีโอก็เป็นเพื่อนของฉันเช่นกัน”

ลีโอถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่แอนดอร์ยังคงคำราม แม้จะลดความดังลงหน่อยก็ตาม

“ไคร่า!”

ไคร่าหันไปตามเสียงในขณะที่เอแดนวิ่งเข้ามาสวมกอด เธอก้มตัวลงไปและกอดเขาแน่น ในขณะที่สองแขนเล็ก ๆ ของเขาโอบหลังไคร่าไว้ เธอรู้สึกดีที่ได้สวมกอดน้องชายของเธอ ผู้ซึ่งเธอมั่นใจว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของเธอ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นอยู่อย่างเดิมโดยไม่มีเปลี่ยนแปลง

“ฉันได้ยินว่าพี่อยู่ที่นี่” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “และฉันรีบเดินทางมาหาพี่ ฉันดีใจจริง ๆ ที่พี่กลับมา”

เธอยิ้มเศร้า ๆ

“น่ากลัวว่าอีกไม่นานนะ น้องชาย” เธอบอก

ความกังวลฉายขึ้นที่ใบหน้าของเขา

“พี่กำลังจะไปหรือ?” เขาถาม ท่าทีผิดหวัง

ท่านพ่อเข้ามาขัดจังหวะ

“เธอต้องไปหาท่านลุง” เขาอธิบาย “ปล่อยเธอไปเสีย”

ไคร่าสังเกตว่าท่านพ่อพูดว่า ลุงของเธอ ไม่ใช่ลุงของเจ้า และเธอรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อจึงพูดเช่นนี้

“ถ้าอย่างนั้น ขอฉันไปด้วยนะ!” เอแดนยืนยันอย่างภาคภูมิใจ

ท่านพ่อส่ายหน้า

“เจ้าไปไม่ได้” เขาตอบ

ไคร่ายิ้มให้น้อยชายของเธอ ช่างกล้าหาญเหมือนที่เคยเป็น

“พ่อต้องการให้น้องอยู่อีกที่หนึ่ง” เธอบอก

“ที่สมรภูมิหรือ?” เอแดนถาม หันหน้าไปหาท่านพ่ออย่างมีความหวัง “ท่านกำลังเดินทัพไปยังเอสเฟส” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “ฉันได้ยิน! และฉันต้องการร่วมทัพด้วย!”

แต่เขาส่ายหัว

“พ่อต้องการให้ลูกอยู่ที่โวลิส” เขาตอบ “เจ้าจะอยู่ที่นี่ ได้รับการคุ้มกันโดยเหล่าทหารที่พ่อทิ้งไว้ สมรภูมิยังไม่เหมาะสำหรับลูกในเวลานี้ สักวันหนึ่งเท่านั้น”

เอแดนหน้าแดงด้วยความผิดหวัง

“แต่ลูกอยากต่อสู้นะ ท่านพ่อ!” เขาประท้วง “ลูกไม่ต้องการอยู่เฉย ๆ ในป้อมปราการที่ว่างเปล่าพร้อมกับผู้หญิงและเด็ก ๆ!”

เหล่าทหารพากันหัวเราะคิกคัก แต่ท่านพ่อมีสีหน้าจริงจัง

“พ่อตัดสินใจแล้ว” เขาตอบห้วน ๆ

เอแดนมีสีหน้าบูดบึ้งทันที

“หากลูกไม่สามารถไปกับไคร่าและท่านพ่อได้” เขาพูดอย่างไม่ลดละความพยายาม “แล้วลูกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสงครามได้อย่างไร แล้วเมื่อไรลูกจะได้เรียนรู้การใช้อาวุธล่ะ? แล้วที่ฝึกฝนมานี่ เพื่ออะไรหรือ?”

“รอให้หน้าอกเจ้ามีขนขึ้นเสียก่อน น้องชาย” แบรกซ์ตันหัวเราะขณะก้าวเข้ามาพร้อมแบรนดอนขนาบข้าง

เสียงหัวเราะดังขึ้นในกลุ่มทหาร และเอแดนหน้าแดง แน่นอนว่าเขารู้สึกอับอายต่อหน้าคนอื่น ๆ

ไคร่ารู้สึกไม่ดี จึงคุกเข่าต่อหน้าเขาและจ้องมองเขาพร้อมวางมือข้างหนึ่งลงบนแก้ม

“เธอจะเป็นนักรบที่ดีเยี่ยมกว่าพวกนั้นทั้งหมด” เธอพูดให้ความมั่นใจแก่เขาอย่างแผ่วเบา เพียงเพื่อให้เขาได้ยิน “จงอดทน และในระหว่างนี้ ดูแลโวลิส พี่ต้องการให้น้องทำหน้าที่นี้ ทำให้พี่ภูมิใจ แล้วพี่จะกลับมา พี่ให้สัญญา และในวันข้างหน้า เราจะร่วมรบในสมรภูมิสำคัญด้วยกัน”

เอแดนดูเหมือนจะอ่อนโยนลงบ้าง เมื่อเขาโน้มตัวมาข้างหน้าและสวมกอดเธออีกครั้ง

“แต่ฉันไม่อยากให้พี่ไป” เขาพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันฝันถึงพี่ ฉันฟันว่า...” เขามองมาที่เธออย่างลังเล ดวงตาเอ่อท้นด้วยน้ำตา “...ว่าพี่จะต้องตายเมื่อไปที่นั่น”

ไคร่ารู้สึกตะลึงในคำพูดของเขา โดยเฉพาะสิ่งที่เธอเห็นในดวงตาของเขา มันหลอกหลอนเธอ เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดจึงจะเหมาะสม

เอนวินก้าวมาข้างหน้าและนำผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนาคลุมที่ไหล่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ไคร่า เธอยืนขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้นถึงสิบปอนด์ แต่ผ้าคลุมผื่นนี้กันลมและความหนาวเหน็บทั้งหลายได้จนหมดสิ้น เขายิ้มตอบ

“ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล และดวงไฟยังห่างออกไป” เขาบอก และสวมกอดเธอ

ท่านพ่อของเธอเดินมาข้างหน้า และสวมกอดเธอ เป็นกอดที่เข้มแข็งของผู้นำกองทัพ เธอกอดเขาและรู้สึกได้ถึงความแนบแน่นรุนแรงจากกล้ามเนื้ออันแข็งแรงของเขา รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย

“ลูกเป็นลูกของพ่อ” เขาพูดอย่างหนักแน่น “อย่าลืมนะ” แล้วเขาพูดเสียงเบามาก เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน “พ่อรักลูก”

เธอรู้สึกตื้นตันด้วยความรู้สึกทั้งหลาย ก่อนที่เธอจะมีโอกาสพูดอะไรออกไป เขาหมุนตัวกลับและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว – ในขณะเดียวกัน ลีโอก็ส่งเสียงร้อง และกระโดดขึ้นมาหาเธอ ดุนจมูกของมันกับหน้าอกของเธอ

“มันอยากไปกับเธอ” เอแดนตั้งข้อสังเกต “เอามันไปด้วยเถอะ – พี่ต้องการมันมากกว่าฉัน ที่ต้องอยู่ที่โวลิสนี้ อีกอย่าง มันเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่อยู่แล้ว”

ไคร่ากอดลีโอ ไม่อาจปฏิเสธได้ มันก็ต้องการเพียงอยู่เคียงข้างเธอ เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อคิดว่ามีมันร่วมเดินทางด้วย เธอคิดถึงมันอย่างมาก เธออาจได้ประโยชน์จากตาและหูของมันเช่นกัน และไม่มีสัตว์ตัวใดที่ซื่อสัตย์ไปกว่าลีโออีกแล้ว

เมื่อพร้อม ไคร่าขึ้นขี่หลังแอนดอร์ในขณะที่ทหารของท่านพ่อของเธอเริ่มเปิดทางให้ เขาถือคบเพลิงเป็นแนวไปจนถึงสะพานเพื่อแสดงออกถึงความเคารพ ขับไล่ความมืดในยามค่ำคืน และส่องทางให้เธอ เธอมองทะลุไปด้านหลังและเห็นท้องฟ้าที่กำลังมืดลง ป่ารกอยู่ต่อหน้า เธอรู้สึกตื่นเต้น กลัว และเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกถึงภาระหน้าที่ ด้วยเป้าหมาย ก่อนเธอจะดำเนินภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิต ภารกิจที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ศักดิ์ศรีของเธอเท่านั้นเป็นเดิมพัน แต่มันหมายถึงโชคชะตาของเอสคาลอน ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

เธอคล้องสายซองใส่ลูกธนูไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง และคันธนูที่ไหล่อีกข้างหนึ่ง ลีโอและเดียร์ดรีอยู่เคียงข้าง เธอขี่แอนดอร์อยู่ ทหารทั้งหมดมองเฝ้าดู ไคร่าเริ่มขี่แอนดอร์ออกก้าวเดินไปที่ประตูเมือง เธอค่อย ๆ ไปอย่างช้า ๆ ในช่วงแรก ผ่านคบเพลิงและเหล่าทหาร รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในความฝัน เดินไปสู่โชคชะตาของเธอ ไคร่าเดินหน้าโดยไม่เหลียวหลังกลับ ด้วยไม่ต้องการให้เสียความตั้งใจ เสียงเป่าแตรเขาสัตว์โดยทหารของท่านพ่อของเธอ เสียงแตรแห่งการลาจาก เสียงแห่งความเคารพ

เธอเตรียมพร้อมที่จะกระตุ้นแอนดอร์ แต่เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว เขาเริ่มต้นวิ่ง ครั้งแรกเป็นการวิ่งเหยาะ ๆ ตามด้วยการควบ

ในไม่นาน ไคร่าพบว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะ ผ่านประตูแห่งอาร์โกส์ ข้ามสะพาน ออกไปสู่พื้นที่โล่ง สายลมเยือกเย็นปะทะเส้นผม และไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเส้นทางอันยาวไกล เจ้าสัตว์ที่ดุร้าย และความมืดมิดในยามค่ำคืน

บทที่สี่

เมิร์ควิ่งผ่าเข้าไปในป่า สะดุดที่พื้นดินลาดเอียง วิ่งเปะปะไประหว่างต้นไม้ เสียงใบไม้แห้งในป่าไวท์วูดดังกรอบแกรบใต้เท้าของเขา ในขณะที่เขาวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขามองไปข้างหน้าและพยายามจับตากลุ่มควันที่พวยพุ่งที่เส้นขอบฟ้า ตัดกับสีแดงเหมือนเลือดสดของอาทิตย์ยามอัสดง เขายิ่งรู้สึกถึงความรีบร้อนที่เพิ่มขึ้น เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณนี้ เป็นไปได้ว่าอาจถูกสังหารในเวลานี้ก็ได้ แต่เขาไม่สามารถทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวไปได้เร็วกว่านี้แล้ว

ดูเหมือนว่าการฆ่าจะติดตามเขาไปทุกแห่ง และมันเผชิญหน้ากับเขาได้ทุกวัน เหมือนที่ทุกคนกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็น แม่ของเขาเคยบอกว่า เขากลับมีนัดกับความตาย คำพูดเหล่านี้ก้องอยู่ในหัวของเขา และตามหลอกหลอนเขามาตลอดชั่วชีวิต คำพูดของเธอเป็นความจริงหรือไม่? หรือเป็นเพราะเขาเกิดมาพร้อมดาวสีดำอยู่เหนือหัวของเขา?

สำหรับเมิร์คแล้ว การฆ่าดูจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เหมือนหายใจ เหมือนกินอาหารกลางวัน ไม่ว่าคนที่เขาจัดการจะเป็นใคร หรือจะฆ่าด้วยวิธีใดก็ตาม ยิ่งครุ่นคิดถึงมันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขารู้สึกอยากอาเจียนมาตลอดชั่วชีวิต และเมื่อใดก็ตามที่มโนธรรมที่อยู่ในใจของเขาจะกรีดร้องให้เขาหันหลังกลับ เริ่มต้นชีวิตใหม่ และดำรงตนเหมือนนักแสวงบุญของป้อมปราการแห่งเออร์ เขาไม่สามารถทำตามคำเรียกร้องได้สำเร็จ หรือจะกล่าวว่า ความรุนแรงร้องเรียกเขาอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้เขายิ่งไม่สามารถปฏิเสธเสียงเรียกร้องนั้นได้

เมิร์ควิ่งต่อไป กลุ่มควันที่พวยพุ่งอยู่ใกล้เข้า เขาเริ่มหายใจลำบากขึ้น กลิ่นควันทำให้เขาแสบจมูก และความรู้สึกที่คุ้นเคยกำลังเริ่มเข้าครอบงำตัวเขา มันไม่ใช่ความกลัว และในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แม้แต่ความตื่นเต้น มันเป็นความรู้สึกแห่งความคุ้นเคย เหมือนเขากำลังจะเป็นเครื่องจักรสังหาร ทุกครั้งที่เขาเข้าสู่สมรภูมิ – ของการสู้รบภายในตัวของเขา การสู้รบในรูปแบบนี้ เขาฆ่าข้าศึกที่เผชิญหน้าเขา โดยไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนหลังกะบังหมวกหรือเกราะเหล็ก หรือแม้แต่มีฝูงชนปรบมือให้เหมือนเป็นอัศวินผู้โด่งดัง ในทัศนะของเขาแล้ว สมรภูมิของเขานับเป็นสมรภูมที่ต้องการความกล้าหาญที่สุด และเหมาะสมสำหรับนักรบที่แท้จริงเช่นเขา

และแม้แต่ในขณะที่เขาวิ่ง เมิร์ครู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่าง โดยปกติแล้ว เมิร์คไม่เคยสนใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย มันเป็นเพียงแค่งานเท่านั้น นั่นช่วยกันเขาออกมาจากการใช้เหตุผล เป็นอิสระจากการถูกบดบังด้วยอารมณ์ แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง นับเป็นครั้งแรกตราบนานเท่าที่เขาจะจดจำได้ที่เขาทำโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากใครเลย เขาดำเนินการด้วยความประสงค์ของตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากเขารู้สึกสมเพชในตัวเด็กผู้หญิง และรู้สึกต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง มันทำให้เขาต้องลงทุนลงแรง และเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้สักเท่าไร เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ดำเนินการให้เร็วกว่านี้ และเสียใจที่ปฏิเสธเธอก่อนหน้านี้

เมิร์ควิ่งด้วยความเร็วคงที่ เขาไม่พกอาวุธใด ๆ เลย –ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น สิ่งที่อยู่ภายใต้เข็มขัดของเขามีเพียงกริชเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และนั่นก็เพียงพอแล้ว ความเป็นจริงแล้ว เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยก็ได้ เขาชอบที่จะเข้าสู่สมรภูมิโดยปราศจากอาวุธ มันช่วยให้คู่ต่อสู่ของเขาขาดความระมัดระวง นอกจากนี้ เขายังสามารถปลดอาวุธของศัตรูและใช้อาวุธนั้นในการต่อสู้ได้ ทำแบบนี้เหมือนกับเขามีคลังอาวุธอยู่ในทุกที่ที่เขาไป

เมิร์คพุ่งทะยานออกจากป่าไวท์วูด หลุดออกจากแนวต้นไม้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างและหุบเขาสูงต่ำ เขาสัมผัสกับดวงอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่ อยู่ต่ำแตะเส้นขอบฟ้า หุบเขากว้างใหญ่อยู่ต่อหน้าเขา ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำมืด เหมือนพิโรธ และเต็มไปด้วยควัน มีเพลิงไฟที่กำลังลุกไหม้ตรงตำแหน่งที่น่าจะเป็นซากที่เหลืออยู่ของฟาร์มของเด็กหญิง เมิร์คได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างลิงโลดของกลุ่มผู้ชายดังมาถึงที่นี่ พวกอาชญากร เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความลิงโลดและกระหายเลือด ด้วยสายตาอันเชี่ยวชาญของเขาที่กวาดตามองที่เกิดเหตุ เขาเห็นชายกลุ่มหนึ่ง มีด้วยกันทั้งสิ้นสิบสองคน เปลวไฟจากคบเพลิงที่พวกมันถืออยู่ฉายให้เห็นใบหน้าลุกโชน วิ่งกลับไปกลับมา จุดไฟเผาทำลายทุกสิ่ง บางคนวิ่งจากคอกม้าไปที่บ้าน ใช้คบเพลิงจุดไฟที่หลังคาที่ทำด้วยฟาง ในขณะที่คนอื่น ๆ ใช้ขวานจามสังหารวัวควายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย เขาเห็นว่าหนึ่งในนั้นลากดึงร่าง ๆ หนึ่งด้วยเส้นผมผ่านพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน

ร่างของผู้หญิง

หัวใจของเมิร์คเต้นเร็วขึ้น เมื่อเขาสงสัยว่าร่างนั้นใช่ร่างของเด็กผู้หญิงหรือไม่ – และสงสัยด้วยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ชายผู้นั้นลากเธอไปยังกลุ่มคนที่คาดว่าเป็นครอบครัวของเธอ พวกเขาถูกมัดติดอยู่กับโรงนาด้วยเชือก ครอบครัวเธอประกอบด้วยพ่อ แม่ และเคียงข้างด้วยเด็กผู้หญิงสองคนที่ตัวเล็กกว่าและอายุน้อยกว่า คาดว่าจะเป็นน้องของเธอ เมื่อลมพัดพาเอากลุ่มควันไฟสีดำออกไป เมิร์คเหลือบเห็นเส้นผมสีบลอนด์ที่เปราะไปด้วยโคลน และเขารู้ในทันทีว่าเป็นเธอนั่นเอง

เมิร์ครู้สึกได้ถึงกระแสของอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านในตัวเขา ในขณะที่เขาเร่งฝีเท้าลงมาตามทางลาดเขา เขาวิ่งเข้าไปในบริเวณที่เป็นพื้นโคลน ท่ามกลางเปลวไฟและควันและในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น: ครอบครัวของเด็กผู้หญิง ที่อยู่ติดกับผนังล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ถูกปาดที่ลำคอ ร่างยังถูกมัดอยู่กับผนัง เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเด็กผู้หญิงที่กำลังถูกลากเพื่อไปรวมกับครอบครัวของเธอยังมีชีวิตอยู่ และพยายามดิ้นรนขัดขืน เขามองเห็นเจ้าคนร้ายยืนรอเธออยู่ ในมือถือกริชเล่มหนึ่ง และเขารู้ทันทีว่า เธอคือรายต่อไป เขามาถึงช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตครอบครัวของเธอ – แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้

เมิร์ครู้ว่าเขาต้องจู่โจมในขณะที่ชายกลุ่มนั้นยังไม่ทันตั้งตัว เขาลดความเร็วลงและค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้าไปตรงกลาง เหมือนกับว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ เพื่อรอจังหวะให้พวกมันสังเกตเห็น และต้องการให้พวกมันสับสน

ในไม่ช้า หนึ่งในนั้นก็สังเกตเห็นเขา เจ้าวายร้ายหมุนตัวหาเขาโดยันที ตกตะลึงที่เห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินอย่างสุขุมเข้ามายังพื้นที่ที่มีการสังหารโหด เขารีบตะโกนบอกพรรคพวก

เมิร์ครู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนจ้องมองมายังตัวเขา ขณะที่เขาย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กผู้หญิง คนที่กำลังลากเธออยู่มองข้ามไหล่มายังเมิร์ค ทันทีที่เห็น มันหยุดชะงัก คลายมือที่ลากเธออยู่ ปล่อยเธอตกลงไปในโคลน มันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าเมิร์คพร้อมกับพรรคพวกของมัน ทั้งหมดย่างเข้ามาและพร้อมที่จะต่อสู้

“ดูสิว่าใครมา?” เสียงร้องจากชายคนที่น่าจะเป็นหัวหน้า เป็นคนที่ปล่อยเด็กผู้หญิงลง ทันทีที่มันเห็นเมิร์ค มันชักดาบออกมาจากเข็มขัดและย่างเข้ามา ในขณะที่คนอื่น ๆ ล้อมเป็นวงกลม

เมิร์คจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว ตรวจสอบดูว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอันตราย เขารู้สึกโล่งอกที่เห็นเธอนอนบิดไปมาบนพื้นโคลน พยายามที่จะพยุงกายลุกขึ้น ยกศีรษะขึ้นมองมายังเขา ด้วยความมึนงงและสับสน เมิร์ครู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็มาทัน อย่างน้อยที่สามารถช่วยชีวิตเธอได้ บางที ครั้งนี้อาจเป็นก้าวแรกของเส้นทางอันยาวไกลเพื่อไถ่โทษ เขาตระหนักว่า บางทีก้าวแรกอาจไม่ได้เกิดขึ้นที่ป้อมปราการ แต่เป็นที่นี่แทน

ในขณะที่เด็กผู้หญิงพลิกตัวบนพื้นโคลน พยายามที่จะใช้ข้อศอกพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งคู่ก็ประสานสายตากัน และเขามองเห็นความหวังเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาของเธอ

“ฆ่ามัน!” เธอกรีดร้องขึ้นมา

เมิร์คยังคงเยือกเย็น เขาเดินอย่างสบาย ๆ มาหาเธอ เหมือนกับไม่มีชายกลุ่มนั้นที่รายล้อมอยู่เลย

“แกรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้สินะ” หัวหน้าตะโกนมาที่เขา

“เป็นลุงสินะ?” หนึ่งในนั้นพูดอย่างขบขัน

“หรือพี่ชายที่หายสาบสูญ?” อีกคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะ

“แกมาเพื่อปกป้องเธอหรือไงวะ ไอ้แก่?” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ย

คนอื่น ๆ เปล่งเสียงหัวเราะในขณะที่พวกมันใกล้เข้ามา

ในขณะที่เขาไม่แสดงออก เมิร์คใช้สายตาตรวจสอบคู่ต่อสู้ของเขา ใช้หางตากวาดมอง นับจำนวนว่าทั้งหมดมีจำนวนกี่คน ตัวสูงใหญ่แค่ไหน เคลื่อนไหวเร็วขนาดไหน รวมถึงอาวุธที่พวกมันถือ เขาวิเคราะห์ถึงกล้ามเนื้อและไขมันที่มี เสื้อผ้าที่สวมใส่ ความยืดหยุ่นของพวกมันในเสื้อผ้าเหล่านั้น ความคล่องตัวของพวกมันในรองเท้าบูทที่พวกมันสวมอยู่ เขารวบรวมอาวุธที่พวกมันมี – มีดพก, กริช, และดาบที่ลับคมแบบลวก ๆ – และเขาวิเคราะห์ว่าคนกลุ่มนี้ถืออาวุธแบบไหน ถือด้านข้างหรือด้านหน้า อยู่ในมือข้างไหน

เขารู้ดีว่า คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมือสมัครเล่น และไม่มีสักคนเลยที่จะกริ่งเกรงเขา ยกเว้นอยู่คนเดียว คือเจ้าคนที่มีหน้าไม้ เมิร์คบันทึกไว้ในหัวว่า เขาต้องจัดการกับคนนี้เป็นคนแรก

แล้วเมิร์คก็เข้าสู่สภาวะที่แตกต่าง รูปแบบการคิดที่แตกต่าง เป็นรูปแบบที่นำทางเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เวลาที่ต้องเผชิญหน้า เขาเข้าสู่โลกของตัวเอง โลกที่เขาสามารถควบคุมได้เพียงน้อยนิด และเป็นโลกที่เขาได้อุทิศร่างกายให้แล้ว มันเป็นโลกที่บงการเขาว่า มีกี่คนที่เขาต้องฆ่า รวดเร็วแค่ไหน และมีประสิทธิภาพเพียงใด รวมทั้ง ทำอย่างไรให้สามารถทำลายล้างได้สูงสุดด้วยความพยายามที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้

เขารู้สึกเสียดายแทนคนกลุ่มนี้จริง ๆ พวกมันไม่รู้เลยว่ากำลังเดินเข้าไปหาอะไรอยู่

“เฮ้ย ฉันกำลัง พูด กับแกอยู่นะ!” คนที่เป็นหัวหน้าร้องออกมา ตัวมันห่างออกไปเพียง 10 ฟุตเท่านั้น ในมือถือดาบ หน้าตายิ้มเยาะ เดินใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

เมิร์คยังคงเดินตามเส้นทางเดิมต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความสุขุม และไม่แสดงออกใด ๆ เขามีสมาธิ และแทบไม่ได้ยินเสียงของคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเลย ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เขาไม่อาจวิ่ง หรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวใด ๆ จนกว่าจะเหมาะสม และเขารับรู้ได้ถึงความสงสัยในกลุ่มคนเหล่านี้ที่เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย

“เฮ้ย นี้แกรู้ไหมว่ากำลังจะตาย?” หัวหน้ายืนยัน “แกได้ยินฉันไหมวะ?”

เมิร์คเดินอย่างสุขุม ในขณะที่หัวหน้าเริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไม่รอช้าอีกต่อไป เขาตะโกนด้วยความโกรธ เงื้อดาบของเขาขึ้นและเข้าจู่โจม หมายฟันลงมาที่ไหล่ของเมิร์ค

เมิร์คใจเย็นรอเวลาและไม่แสดงอาการใด ๆ เขาเดินช้า ๆ ไปหาผู้ที่กำลังจู่โจมเข้ามา รอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ไม่แสดงออกถึงอาการหวาดวิตกและไม่ส่งสัญญาณที่จะต่อต้านใด ๆ เลย

เขารอจนกระทั่งดาบของคู่ต่อสู่ยกขึ้นสู่จุดสูงสุด สูงเหนือศีรษะของชายผู้นั้น จังหวะนี้เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของทุกคน นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เป็นเวลานานมาแล้ว ทันใดนั้น รวดเร็วเกินกว่าที่ศัตรูคนใดจะคาดการณ์ได้ เมิร์คพุ่งทะยานเข้าหา เหมือนงูฉก ใช้นิ้ว 2 นิ้วของเขาจู่โจมโดยกดที่บริเวณด้านใต้รักแร้ของชายผู้นั้น

ผู้จู่โจมมีดวงตาที่ปูดบวมจากความเจ็บปวดและประหลาดใจ จนต้องทิ้งดาบโดยฉับพลัน

เมิร์คก้าวเข้าประชิดตัว เอื้อมแขนข้างหนึ่งของเขาโอบรอบแขนของชายผู้นั้น จับฝ่ามือไว้ในท่าล็อก ขณะนั้น เขาคว้าด้านหลังของคอและบังคับหมุนชายผู้นั้นไปมาเหมือนเป็นโล่กำบัง เนื่องจากเมิร์คไม่ได้กังวลในตัวชายที่เป็นหัวหน้าคนนี้เท่ากับคนที่ถือหน้าไม้อยู่ด้านหลัง เมิร์คเลือกที่จะจู่โจมเจ้าทึ่มนี้ก่อนเพียงเพื่อให้เขามีโล่มนุษย์

เมิร์คหมุนตัวเผชิญหน้าชายที่ถือหน้าไม้ และก็เป็นอย่างที่คาด เขาขึ้นหน้าไม้ และเล็งมาที่ตัวเขาแล้ว ในขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงลูกธนูถูกปล่อยออกมาจากหน้าไม้ และเขามองเห็นมันพุ่งตรงมายังตัวเขา เมิร์คจับโล่ที่เป็นคนที่กำลังดิ้นกระแด่ว ๆ ไว้อย่างแน่นหนา

ต่อมาเขาได้ยินเสียงลมหายใจขาดช่วง เมิร์ครู้สึกได้ว่าตัวของเจ้าทึ่มผงะในแขนเขา ตัวหัวหน้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และเมิร์คก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองด้วยเช่นกัน เหมือนมีดกรีดลงมาตรงกระเพาะของเขา ตอนแรกเขารู้สึกสับสน – แต่ไม่ช้าจึงได้รู้ว่าลูกธนูทะลุผ่านท้องของโล่มนุษย์ และหัวลูกศรทะลุผ่านมาที่ท้องของเมิร์คด้วย มันจมลงไปในผิวหนังเพียงแค่ประมาณครึ่งนิ้ว – ไม่มากพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส – แต่ก็แรงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดเหมือนนรก

จากการคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการบรรจุลูกธนูใหม่ เมิร์คปล่อยเจ้าหัวหน้าซึ่งตอนนี้อ่อนปวกเปียกลงบนพื้น คว้าดาบจากมือของเขา และขว้างไปยังเจ้าวายรายที่มีหน้าไม้เป็นอาวุธ ดาบหมุนคว้างไปปักที่หน้าอก ชายผู้นั้นกรีดร้องเสียงแหลม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เขาปล่อยหน้าไม้ลง และร่างก็ร่วงลงไปกองอยู่ข้างหน้าไม้

เมิร์คหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าพวกที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในอาการตะลึง นักสู้ฝีมือดีที่สุดทั้งสองก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดที่เหลือยังอยู่ในอาการไม่แน่ใจ พวกเขาพากันมองหน้ากัน ตะลึง นิ่งเงียบ

“แกเป็นใคร?” ในที่สุด คนหนึ่งก็ร้องถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัวลนลาน

เมิร์คยิ้มกว้างและหักนิ้วมือ แสดงออกถึงความเพลิดเพลินเป็นที่สุด

“ฉัน” เขาตอบ “คือฝันร้ายของพวกแกยังไงล่ะ”

บทที่ห้า

ดันแคนควบม้าไปพร้อมกับกองทัพ เสียงม้าจำนวนนับร้อยดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เขานำกองกำลังมุ่งลงใต้ ออกมาห่างจากอาร์โกส์ เอนวินและอาร์ทฟอล ทหารที่ดันแคนไว้วางใจกำลังอยู่เคียงข้างเขา ส่วนวิดาร์ยังอยู่ที่ฐานเพื่อปกป้องโวลิส ทหารนับร้อยเรียงแถวขึ้นมา ทั้งหมดควบม้าออกไปด้วยกัน ดันแคนไม่เหมือนขุนศึกคนอื่น เขาชอบขี่ม้าไปพร้อมกับทหาร เขาไม่เคยมองทหารเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของ แต่ทั้งหมดคือสหายร่วมรบของเขา

พวกเขาควบม้าไปในยามค่ำคืน ลมหนาวพัดโชยมา พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยหิมะ พวกเขารู้สึกดีที่ได้วิ่งไปสู่สงครามโดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอย่างขี้ขลาดอยู่หลังกำแพงโวลิสอีกต่อไป ซึ่งดันแคนทำแบบนั้นมาครึ่งค่อนชีวิต ดันแคนมองดูลูกชายของเขา แบรนดอนและแบรกซ์ตันขี่ม้าอยู่เคียงข้างทหาร เขาภูมิใจที่ลูกชายของเขามาร่วมรบด้วย ลึกลงไปในใจดันแคนยังคงเป็นห่วงไคร่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ค่ำคืนเช่นนี้ดันแคนกลับคิดถึงเรื่องร้าย ๆ เกี่ยวกับไคร่า

Назад Дальше