กลายร่าง
(เล่นที่ 1 ในนิยายชุด บันทึกของแวมไพร์)
มอร์แกน ไรซ์
คำนิยมสำหรับ กลายร่าง
“กลายร่าง เป็นเรื่องราวที่เหมาะสำหรับนักอ่านรุ่นเยาว์ มอร์แกน ไรซ์ ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมในการเพิ่มความน่าสนใจให้แตกต่างจากนิยายแวมไพร์ทั่วไป เนื้อเรื่องแปลกใหม่และไม่เหมือนใคร กลายร่าง มีองค์ประกอบคลาสสิคที่สามารถพบได้ในชีวิตประจำวันของวัยรุ่น นิยายชุด บันทึกของแวมไพร์ เล่ม 1 จะเน้นเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง...เรียกได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา!...การดำเนินเรื่องของ กลายร่าง เป็นไปอย่างกระชับและน่าติดตาม...แนะนำสำหรับผู้ที่ชอบอ่านนิยายแนวเหนือธรรมชาติ โรแมนติค และเป็นเรทที่เหมาะกับทุกช่วงอายุ”
--The Romance Reviews
“กลายร่าง ดึงดูดความสนใจของฉันตั้งแต่แรกและทำให้ฉันไม่อยากละสายตาเลยจริง ๆ...เรื่องนี้จะเกี่ยวกับการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วและมีฉากต่อสู้ตั้งแต่ช่วงแรก มอร์แกน ไรซ์ ทำผลงานออกได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถพาผู้อ่านเข้าไปสู่เรื่องราวต่าง ๆ ทำให้ตัวละครเคทลินมีความโดดเด่น และนำเสนอความสิ้นหวังที่จะส่งผลให้เธอประสบความสำเร็จในการค้นหาความจริงได้อย่างดีเยี่ยม...ฉันกำลังรออ่านเล่มที่สองอยู่”
--Paranormal Romance Guild
“กลายร่าง เป็นเรื่องที่อ่านแล้วจรรโลงใจ เข้าใจง่าย และสะท้อนถึงด้านมืด เรื่องราวสั้น ๆ นี้ทำให้คุณสามารถอ่านได้พร้อมกับหนังสือเล่มอื่น ๆ...คุณจะได้รับความสนุกสนานแน่นอน!”
--books-forlife.blogspot.com
“กลายร่าง คือหนังสือที่จะมาเป็นคู่แข่ง TWILIGHT และ VAMPIRE DIARIES เป็นเรื่องที่จะทำให้คุณอยากอ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าสุดท้าย! ถ้าคุณชอบเรื่องราวการผจญภัย ความรักและแวมไพร์ หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ!”
--Vampirebooksite.com
“ไรซ์ ทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถดึงผู้อ่านเข้าไปสู่เนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ตอนต้น การใช้บทที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด...พร้อมการเรียบเรียงที่ยอดเยี่ยม ทำให้สามารถอ่านได้อย่างรวดเร็ว กลายร่าง เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของนิยายแวมไพร์เรื่องใหม่ สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านที่กำลังมองหาเนื้อเรื่องเบา ๆ แต่ยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน”
--Black Lagoon Reviews
เกี่ยวกับ มอร์แกน ไรซ์
มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE VAMPIRE JOURNALS นิยายชุดสำหรับวัยรุ่น จำนวน 11 เล่ม (ยังมีเล่มต่อไป), นิยายชุดขายดีอันดับ 1เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY นิยายระทึกขวัญ จำนวน 2 เล่ม (ยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดมหากาพย์แฟนตาซีขายดีอันดับ 1 วงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 11 เล่ม (ยังมีเล่มต่อไป)
หนังสือของมอร์แกน มีทั้งรูปแบบหนังสือเสียงและเป็นรูปเล่ม และแปลเป็นภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน สเปน โปรตุเกส ญี่ปุ่น จีน สวีเดน ดัตช์ ฮังกาเรียน เช็ค และสโลวัก (และภาษาอื่น ๆ ที่จะตามมา)
TURNED (เล่ม1ในชุด the Vampire Journals), ARENA ONE (เล่ม 1 ในชุด the Survival Trilogy) และ เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1ในชุด วงแหวนของผู้วิเศษ) มีให้ดาวน์โหลดฟรีแล้วใน Google Play
มอร์แกนอยากฟังความคิดเห็นจากพวกคุณ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือ และของรางวัลมากมาย และสามารถดาวน์โหลดแอพฟรี พร้อมทั้งรับทราบข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อผ่านเฟซบุคและทวีตเตอร์ โปรดติดตาม!
หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์
วงแหวนของผู้วิเศษ
เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)
ขบวนแห่งกษัตริย์ (เล่ม 2)
A FATE OF DRAGONS (เล่ม 3)
A CRY OF HONOR (เล่ม 4)
A VOW OF GLORY (เล่ม 5)
A CHARGE OF VALOR (เล่ม 6)
A RITE OF SWORDS (เล่ม 7)
A GRANT OF ARMS (เล่ม 8)
A SKY OF SPELLS (เล่ม 9)
A SEA OF SHIELDS (เล่ม 10)
A REIGN OF STEEL (เล่ม 11)
A LAND OF FIRE (เล่ม 12)
A RULE OF QUEENS (เล่ม 13)
AN OATH OF BROTHERS (เล่ม 14)
THE SURVIVAL TRILOGY
ARENA ONE: SLAVERSUNNERS (เล่ม 1)
ARENA TWO (เล่ม 2)
บันทึกของแวมไพร์
กลายร่าง (เล่ม 1)
ความรัก (เล่ม 2)
การทรยศ (เล่ม 3)
พรหมลิขิต (เล่ม 4)
ความปรารถนา (เล่ม 5)
การหมั้นหมาย (เล่ม 6)
คำสาบาน (เล่ม 7)
การค้นหา (เล่ม 8)
ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)
การโหยหา (เล่ม 10)
โชคชะตา (เล่ม 11)
ฟัง นิยายชุด บันทึกของแวมไพร์ ในรูปแบบหนังสือเสียง!
ลิขสิทธิ์ © 2011 โดย มอร์แกน ไรซ์
สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด ยกเว้นได้รับอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ค.ศ. 1976 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ห้ามนำส่วนใดของการตีพิมพ์นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายและเผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ หรือโดยการกระทำใด ๆ หรือจัดเก็บในฐานข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้แต่ง
หนังสืออีบุคนี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และอีบุคเล่มนี้ไม่อนุญาตให้นำไปจำหน่ายต่อหรือยกให้กับบุคคลอื่น ถ้าคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับบุคคลอื่น โปรดสั่งซื้อหนังสือเพิ่มเติมสำหรับแต่ละคน ถ้าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ โปรดส่งคืนและดำเนินการสั่งซื้อในนามของคุณเอง ขอบคุณที่ให้ความเคารพกับผลงานที่ผู้แต่งได้ทุ่มเท
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแต่ง ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ เหตุการณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง หรือได้รับการแต่งขึ้นมา ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น
Jacket Image ©iStock.com/Bliznetsov
“มันเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพหรือ
จึงมาเดินออกกำลังทอดอารมณ์ และสูดอากาศ
ยามเช้าอันอับชื้น? ให้สงสัยว่าบรูตัสคงจะป่วย
นี่เขาจะแอบลุกจากเตียงแสนสบาย
เพื่อเสี่ยงกับมวลโรคร้ายมหาภัยยามราตรีหรือ?
--วิลเลียม เชกสเปียร์, จูเลียส ซีซาร์
สารบัญ
บทที่หนึ่ง
บทที่สอง
บทที่สาม
บทที่สี่
บทที่ห้า
บทที่หก
บทที่เจ็ด
บทที่แปด
บทที่เก้า
บทที่สิบ
บทที่สิบเอ็ด
บทที่สิบสอง
บทที่สิบสาม
บทที่สิบสี่
บทที่สิบห้า
บทที่สิบหก
บทที่สิบเจ็ด
บทที่หนึ่ง
เคทลิน เพน มักวิตกกับวันแรกของการไปโรงเรียนใหม่ ซึ่งมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น การพบเพื่อนใหม่ ครูคนใหม่ การเรียนรู้เส้นทางเดินใหม่ และยังมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การได้ล็อกเกอร์ใหม่ กลิ่นอายของสถานที่ใหม่ เสียงรอบข้างที่เกิดขี้น เหนือสิ่งอื่นใด เธอกลัวการจ้องมอง เธอรู้สึกว่าทุกคนในสถานที่แห่งใหม่มักจะมองมาที่เธอตลอดเวลา ทั้งหมดที่เธอต้องการคือการอยู่แบบไม่มีตัวตน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย
เคทลินไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงเป็นที่สะดุดตา เธอสูง 5 ฟุต 5 นิ้ว ซึ่งไม่ได้สูงมากนัก เธอมีผมสีน้ำตาลและดวงตาสีน้ำตาล (และน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ) เธอรู้สึกว่าเธอเป็นแค่เด็กทั่วไป เคทลินไม่ได้สวยเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่น เธออายุ 18 ปี แม้ว่าจะดูแก่กว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกัน แต่นั่นไม่ได้เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เธอดูโดดเด่น
มันยังมีบางอย่างนอกเหนือจากนั้น บางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอที่ทำให้ผู้อื่นต้องหันมามองเธอถึงสองครั้ง ลึก ๆ แล้วเธอรู้ว่าเธอแตกต่างจากผู้อื่น แต่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่าคืออะไร
หากจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าการไปโรงเรียนวันแรก มันคือการเข้าเรียนที่ใหม่ในช่วงกลางเทอม หลังจากที่คนอื่น ๆ ได้ทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันแรกของการไปโรงเรียนใหม่ในกลางเดือนมีนาคม ซึ่งกำลังจะเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เธอเหมือนจะรับรู้ได้
ในจินตนาการอันล้ำลึกของเธอ แม้ว่าเธอไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเลวร้ายเช่นนี้ เธอเจอสิ่งต่าง ๆ มามากมาย ไม่มีอะไรที่เธอไม่เคยเห็น เธอเตรียมตัวรับมือสำหรับสิ่งนี้แล้ว
เคทลินยืนอยู่นอกรั้วโรงเรียนใหม่ของเธอ โรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมืองนิวยอร์ก ท่ามกลางบรรยากาศตอนเช้าอันหนาวเหน็บของเดือนมีนาคม และสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นฉัน? เธอแต่งตัวมาอย่างเรียบง่าย ใส่เพียงแค่เสื้อกันหนาวกับกางเกงเลกกิ้ง และไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับเสียงดังวุ่นวายที่กำลังรอเธออยู่เบื้องหน้า เด็กหลายร้อยคนยืนอยู่ที่นั่น กำลังส่งเสียงดัง ตะโกน และผลักกันไปมา มองดูเหมือนลานกิจกรรมในเรือนจำไม่มีผิด
ที่นี่เต็มไปด้วยความโกลาหล เด็กเหล่านี้หัวเราะและด่าทอกันเสียงดังมากเกินไป พวกเขาผลักกันอย่างรุนแรง เธอเกือบจะคิดว่ามันคือการทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ ถ้าเธอไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มและการหัวเราะหยอกล้อ เด็กพวกนี้มีพลังเยอะเกินเหตุ และเธอรู้สึกเหนื่อยล้า หนาวเหน็บ พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่เข้าใจว่ามันมาจากไหน เธอหลับตาลงและหวังว่าความวุ่นวายทั้งหมดนี้จะหายไป
เธอล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อและสัมผัสกับบางอย่าง ใช่แล้ว ไอพอดของเธอนั่นเอง เธอเสียบหูฟังและเปิดเพลง เธอต้องการที่จะกลบเสียงทั้งหมดนี้
แต่เธอไม่ได้ยินอะไรเลย เธอก้มลงมองและเห็นว่าแบตเตอรี่หมด เยี่ยมไปเลย
เธอเช็คโทรศัพท์ หวังว่าจะพบกับสิ่งที่ทำให้เธอหายฟุ้งซ่าน แต่ก็ว่างเปล่า ไม่มีข้อความใหม่เลย
เธอเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปยังกลุ่มเด็กหน้าใหม่ เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวขาวเพียงคนเดียว อันที่จริงเธอก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เพื่อนสนิทบางคนของเธอที่โรงเรียนเก่าเป็นคนผิวสี คนสเปน เอเชีย อินเดีย และเพื่อนหวังดีประสงค์ร้ายที่สุดเป็นคนผิวขาว ดังนั้นเรื่องสีผิวที่แตกต่างจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ แต่เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะการอยู่ในเมืองใหญ่เช่นนี้ เธอยืนอยู่บนพื้นคอนกรีต เสียงกริ่งดังขึ้น ถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้าสู่ “พื้นที่สันทนาการ” แห่งนี้ เธอก้าวผ่านประตูเหล็กขนาดใหญ่ ตอนนี้เธออยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กขนาดใหญ่ ด้านบนขึงด้วยลวดหนาม เธอรู้สึกไม่ต่างกับนักโทษที่เดินเข้าสู่เรือนจำ
เธอมองไปที่โรงเรียนขนาดใหญ่ เหล็กดัดและลูกกรงที่ติดอยู่กับหน้าต่างทุกบาน ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย เธอสามารถปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้อย่างง่ายดายเสมอ ทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ทั้งหมดตั้งอยู่นอกเมือง โรงเรียนเหล่านั้นมีสนามหญ้า ต้นไม้ และท้องฟ้า แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเมืองใหญ่อันวุ่นวาย เธอรู้สึกเหมือนเธอหายใจไม่ออก มันทำให้เธอหวาดกลัว
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง เธอเดินหลบหลีกไปตามทางที่เต็มไปด้วยเด็กจำนวนหลายร้อยคน เมื่อเกือบถึงหน้าประตู เธอชนกับเด็กผู้หญิงตัวโตคนหนึ่งและทำสมุดบันทึกของเธอหล่น เธอหยิบมันขึ้นมา (ผมของเธอดูยุ่งเหยิง) และเงยหน้ามองดูว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะขอโทษเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นเพราะเธอเดินหายเข้าไปในฝูงชนเรียบร้อยแล้ว เคทลินได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นตรงมาที่เธอ
เธอถือสมุดบันทึกของเธอไว้แน่น มันเป็นสิ่งที่มีความหมายกับเธอ เธอจะนำสมุดบันทึกเล่มนี้ไปกับเธอทุกที่ เพื่อบันทึกเรื่องราวและวาดภาพทุกสถานที่ที่เธอไป มันคือแผนที่ชีวิตในวัยเด็กของเธอ
ในที่สุดก็มาถึงทางเข้า เธอต้องแทรกตัวเพื่อเดินผ่านเข้าไป บรรยากาศช่างเหมือนกับการเข้าสู่รถไฟในชั่วโมงเร่งด่วน เธอหวังว่าการเข้าไปด้านในจะทำให้เธออบอุ่นขึ้น แต่ลมที่พัดมาจากประตูด้านหลัง ทำให้เธอรู้สึกหนาวเข้าไปอีก
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่สองคนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ขนาบข้างด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กสองนายในชุดแต่งกายเต็มยศ พร้อมปืนขนาบข้าง
“เดินเข้าไป!” หนึ่งในพวกเขาสั่งการ
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธต้องมายืนคุมที่ประตูทางเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย ความรู้สึกวิตกกังวลของเธอเริ่มก่อตัวขึ้น มันแย่เข้าไปอีกเมื่อเธอมองขึ้นไปและเห็นว่าเธอต้องเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะที่มีลักษณะเหมือนระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบิน
เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธอีกสี่คนยืนอยู่คนละฝั่งของเครื่องตรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคน
“เอาของในกระเป๋าออกมาให้หมด!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนบอก
เคทลินสังเกตเห็นว่าเด็กคนอื่น ๆ นำของออกจากกระเป๋าแล้วใส่ลงไปในกล่องพลาสติกเล็ก ๆ เธอทำเช่นเดียวกันอย่างรวดเร็ว เธอใส่ไอพอด กระเป๋าสตางค์ และกุญแจของเธอลงไปในนั้น
เธอแทรกตัวผ่านเครื่องตรวจ และเสียงเตือนก็ดังขึ้น
“เธอ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะคอกออกมา “ออกไปด้านข้าง!”
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด
เด็กทุกคนจ้องมาที่เธอซึ่งถูกบังคับให้ยกแขนขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้เครื่องค้นหาโลหะไล่ขึ้นลงไปตามร่างกายของเธอ
“เธอใส่เครื่องประดับรึเปล่า”
เธอสำรวจข้อมือและคอของเธอ แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม้กางเขนของเธอ
“ถอดมันออกมา” เจ้าหน้าที่ตะคอกใส่
มันคือสร้อยคอของคุณย่าที่ให้เธอไว้ก่อนจะจากไป ไม้กางเขนเงินขนาดเล็ก สลักด้วยคำในภาษาลาติน ซึ่งเธอไม่เคยแปลมัน คุณย่าของเธอบอกว่าไม้กางเขนนี้ถูกส่งต่อกันมาจากคุณย่าของเธออีกที เคทลินไม่ได้เคร่งศาสนาและเธอไม่เข้าใจนักว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร แต่เธอรู้แค่ว่ามันมีอายุหลายร้อยปี และถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเธอ
เคทลินนำสร้อยคอออกมาจากเสื้อของเธอ ชูไว้ในมือ แต่ไม่ได้ถอดออก
“ฉันขอไม่ถอดสร้อยออก” เธอตอบ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องมาที่เธอ สายตาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
ทันใดนั้น ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้น มีเสียงตะโกนจากตำรวจซึ่งกำลังจับเด็กคนหนึ่งร่างผอมสูงและผลักเขาเข้าหากำแพง เพื่อปลดมีดขนาดเล็กจากกระเป๋าของเขา
เจ้าหน้าที่รีบเข้าไปช่วยเหลือ เคทลินจึงใช้โอกาสนี้แอบเข้าไปอยู่ในฝูงชนซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปยังห้องโถง
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนรัฐบาลนิวยอร์ก เคทลินคิดในใจ รอดตัวแล้ว
เธอเริ่มนับถอยหลังวันที่จะสำเร็จการศึกษา
*
ทางเดินในอาคารมีขนาดกว้างขวางที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เธอไม่คิดว่ามันจะเต็มได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แออัดไปด้วยเด็ก ๆ ที่เดินไหล่ชนกัน ทางเดินนี้ต้องมีเด็กหลายพันคนอย่างแน่นอน ฝูงชนที่เต็มไปด้วยใบหน้าแผ่ขยายออกไปดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด เสียงที่สะท้อนกับกำแพงในสถานที่แห่งนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอต้องการใช้มือป้องหูของเธอเพื่อให้เสียงเบาลง แต่มันไม่มีพื้นที่เพียงพอแม้แต่จะยกแขนของเธอขึ้น เธอรู้สึกอึดอัดเต็มที
เสียงระฆังดังขึ้น และผู้คนเริ่มเร่งฝีเท้า
มันสายแล้ว
เธอมองดูหมายเลขห้องเรียนของเธออีกครั้งและพบว่าห้องของเธอยังอยู่อีกไกล เธอพยายามแทรกตัวผ่านฝูงชนนี้ไป แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้ หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดเธอเริ่มตระหนักได้ว่าเธอต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อย เธอเริ่มใช้ข้อศอกดันและกระแทกกลับ และแล้วเธอก็สามารถเดินผ่านเด็กเหล่านี้ที่อยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ เธอผลักประตูอันหนักอึ้งไปยังห้องเรียนของเธอ
เธอตั้งสติกับสิ่งที่เธอจะต้องเจอ เธอเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้าชั้นเรียนสาย ครูจะต้องดุเธอแน่นอนที่รบกวนห้องเรียนอันเงียบสงบนี้ แต่เธอต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เธอจินตนาการเลย ห้องเรียนนี้ออกแบบมาสำหรับนักเรียน 30 คน แต่ในห้องมีนักเรียนประมาณ 50 คนที่อัดแน่นกันอยู่ เด็กบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ บางคนกำลังเดินไปมาและตะโกนด่าทอใส่กัน มันคือความโกลาหล
เสียงระฆังเข้าชั้นเรียนดังเมื่อห้านาทีที่ผ่านมา แต่คุณครูที่ผมเผ้าพะรุงพะรัง ใส่สูทยับยู่ยี่ ไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะเริ่มทำการสอน เขานั่งวางเท้าไว้บนโต๊ะ กำลังอ่านหนังสือ และไม่สนใจใครทั้งนั้น
เคทลินเดินไปหาเขาและวางบัตรประจำตัวใหม่ของเธอบนโต๊ะ เธอยืนอยู่ที่นั่นและรอให้เขาเงยหน้าขึ้น แต่เขาไม่ก็มอง
ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกไป
“ขอโทษนะคะ”
เขาวางหนังสือพิมพ์ลงอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันชื่อ เคทลิน เพน ฉันเป็นนักเรียนใหม่ ฉันคิดว่าฉันคงต้องให้สิ่งนี้กับคุณ”
“ฉันแค่มาแทน” เขาตอบ และยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านต่อ
เธอยืนอยู่ที่นั่น รู้สึกสับสน
“คือว่า” เธอถาม “...คุณไม่ได้สอนชั้นเรียนนี้หรอ?”
“ครูของเธอจะกลับมาวันจันทร์” เขาตอบกลับ “เขาจะจัดการเอง”
เมื่อรู้ตัวว่าการสนทนาจบลงแล้ว เคทลินจึงเอาบัตรประจำตัวของเธอกลับมา
เธอหันหลังกลับและมองไปในชั้นเรียน ความโกลาหลยังคงอยู่ แต่พอจะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีใครจับตาดูเธอ ไม่มีใครในห้องนี้สนใจเธอเลย ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นเธอ
ในทางกลับกัน เมื่อมองไปยังห้องเรียนที่แออัด มันช่างชวนประสาทเสีย ดูเหมือนจะไม่มีที่นั่งเหลืออยู่แล้ว
เธอสูดหายใจและถือสมุดบันทึกของเธอไว้แน่น แล้วเดินไปตามช่องทางเดิน เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเดินอยู่ระหว่างเด็กเกเรที่กำลังตะโกนใส่กัน เมื่อเธอเดินไปถึงหลังห้อง ในที่สุดเธอก็สามารถมองเห็นห้องเรียนทั้งหมดได้
ไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว
เธอยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนคนโง่ และรู้สึกว่าเด็กคนอื่น ๆ เริ่มจะสังเกตเห็นเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดชั่วโมงการสอน และครูที่มาแทนดูเหมือนจะไม่สนใจเธอเลย เธอมองหาที่นั่งอีกครั้ง มองหาอย่างไร้ความหวัง
เธอได้ยินเสียงคนหัวเราะจากทางเดินที่ห่างออกไปเล็กน้อย และแน่ใจว่าเสียงนั้นตรงมาที่เธอ เธอไม่ได้แต่งตัวเหมือนเด็กพวกนี้ และเธอดูไม่เหมือนพวกเขา แก้มของเธอเริ่มแดงจากการที่เธอถูกจับตามอง
เธอพร้อมที่จะเดินออกไปจากชั้นเรียน และอาจจะออกจากโรงเรียนแห่งนี้ แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ตรงนี้”
เธอหันกลับไป
เสียงดังมาจากแถวสุดท้ายริมหน้าต่าง เด็กผู้ชายตัวสูงยืนขึ้นจากโต๊ะของเขา
“มานั่งนี่สิ” เขาพูด “มาเถอะ”
ภายในห้องเรียนเงียบขึ้นเล็กน้อย เด็กคนอื่น ๆ กำลังรอดูว่าเธอจะตอบกลับอย่างไร
เธอเดินตรงไปที่เขา พยายามที่จะไม่มองดวงตากลมโตสีเขียวเป็นประกายของเขา แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะมอง
เขาดูสง่างาม เขามีผิวสองสีที่เรียบเนียน เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นชาวผิวสี ชาวสเปน ชาวผิวขาวหรือผสม แต่เธอไม่เคยเห็นผิวที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่มเช่นนี้มาก่อน พร้อมด้วยแนวกรามที่ได้รูป ผมของเขาสั้นและสีน้ำตาล รูปร่างผอม มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเขา บางอย่างที่ดูผิดที่ผิดทาง เขาดูเปราะบาง เขาคงจะเป็นพวกศิลปิน
มันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ถูกผู้ชายจีบ เธอเคยเห็นเพื่อนของเธอหลงรักใครคนหนึ่ง แต่เธอก็ไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้
“แล้วเธอจะนั่งที่ไหน?” เคทลินถาม
เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงของเธอ แต่ก็ฟังดูไม่ค่อยปกตินัก เธอหวังว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอตื่นเต้นมากแค่ไหน
เขายิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันที่สมบูรณ์แบบ
“ตรงนี้ไง” เขาบอก และย้ายไปนั่งบนขอบธรณีหน้าต่างบานใหญ่ ห่างออกไปไม่กี่ฟุต
เธอมองไปที่เขา และเขามองกลับมา สายตาของพวกเขาไม่อาจละออกจากกัน เธอบอกตัวเองให้มองไปทางอื่น แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“ขอบใจนะ” เธอพูดออกมา และรู้สึกโมโหตัวเองทันที
ขอบใจ? นั่นคือทั้งหมดที่ฉันพูดได้หรอ? ขอบใจเนี่ยนะ!?
“ทำถูกแล้ว บารัค!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น “ยกที่นั่งของนายให้กับสาวน้อยผิวขาวผู้แสนดี!”
เสียงหัวเราะตามมา และความวุ่นวายก็กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ทุกคนไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว
เคทลินเห็นเขาก้มหน้าอย่างเขินอาย
“บารัค?” เธอถาม “นั่นคือชื่อของเธอหรอ?”
“เปล่า” เขาตอบกลับหน้าแดง “นั่นคือชื่อที่พวกเขาเรียกฉัน พวกเขาคิดว่าฉันเหมือนโอบาม่า”
เธอมองเขาใกล้ ๆ และสังเกตเห็นว่าเขาดูเหมือนจริง ๆ
“เพราะว่าฉันเป็นลูกครึ่งผิวดำกับผิวขาวและมีเชื้อสายเปอร์โตริโก”
“หรอ ฉันคิดว่านั่นเป็นคำชมนะ” เธอบอก
“มันไม่ใช่ในแบบที่พวกเขาพูดออกมา” เขาตอบ
ในขณะที่เขานั่งอยู่บนขอบธรณีหน้าต่าง เธอสังเกตเห็นว่าความมั่นใจของเขาลดลง และเธอสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนอ่อนไหว อ่อนแอ เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเด็กพวกนี้ นี่มันบ้าชัด ๆ แต่เธอรู้สึกอยากปกป้องเขา
“ฉันชื่อ เคทลิน” เธอพูด พร้อมยื่นมือของเธอและมองไปที่ดวงตาของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมอง ประหลาดใจและยิ้มกลับ
“โจนาห์” เขาตอบ
เขาจับมือของเธอแน่น ความรู้สึกวูบวาบแผ่ไปตามแขนของเธอ เธอสัมผัสได้ถึงผิวอันเรียบเนียนของเขาที่กำลังห่อหุ้มมือของเธอ เธอรู้สึกเหมือนเธอถูกหลอมละลายไปในตัวของเขา เขาจับมือของเธอนานเกินไป และเธอยิ้มตอบอย่างช่วยไม่ได้
*
ช่วงเวลาที่เหลือของช่วงเช้าไม่ค่อยมีอะไร และเคทลินรู้สึกหิวเมื่อเธอมาถึงโรงอาหาร เธอเปิดประตูบานคู่และต้องผงะกับห้องขนาดมหึมา เสียงดังเซ็งแซ่จากเด็กที่ดูเหมือนจะมีหลายพันคน ทั้งหมดกำลังแผดเสียง บรรยากาศเหมือนกำลังเข้าไปในโรงยิม เพียงแต่ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ทุกยี่สิบฟุตในทางเดิน คอยเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง