เหมือนเช่นเคย เธอไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน เธอสำรวจห้องขนาดใหญ่นี้ และในที่สุดก็พบชั้นวางถาด เธอหยิบมันขึ้นมา และเข้าไปยืนตรงที่เธอคิดว่าเป็นแถวรออาหาร
“อย่ามาแซงฉัน ยัยโง่!”
เคทลินหันไปมองและพบกับเด็กผู้หญิงร่างใหญ่ น้ำหนักเกิน สูงกว่าเธอครึ่งหนึ่ง ทำหน้าบึ้งใส่
“ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ ----”
“แถวอยู่ด้านหลังโน่น!” เด็กผู้หญิงอีกคนตะโกนออกมา พร้อมชี้นิ้วของเธอ
เคทลินมองดูและพบว่าหางแถวยาวออกไป มีเด็กยืนอยู่อย่างน้อยร้อยคน ดูเหมือนว่าต้องรอประมาณยี่สิบนาที
เธอเดินตรงไปที่ท้ายแถว เด็กที่อยู่ในแถวผลักเด็กอีกคน ทำให้เขาลอยมาข้างหน้าเธอ และตกลงบนพื้นอย่างแรง
เด็กคนแรกกระโดดขึ้นคร่อมอีกคนและเริ่มชกลงที่ใบหน้าของเขา
โรงอาหารเต็มไปด้วยการส่งเสียงตะโกนจากความตื่นเต้น เด็กหลายสิบคนเข้ามามุง
“ต่อยเลย! ต่อยเลย!”
เคทลินถอยหลังออกมาหลายก้าว ยืนดูความน่ากลัวในเหตุการณ์รุนแรงที่อยู่เบื้องเท้าของเธอ
ในที่สุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสี่คนก็เข้ามาห้ามปราม แยกเด็กสองคนออกจากกันและพาออกไป พวกเขาดูไม่รีบร้อนอะไร
หลังจากที่เคทลินได้รับอาหาร เธอมองไปรอบห้อง หวังว่าจะเจอโจนาห์ แต่เธอไม่เห็นเขาเลย
เธอเดินลงไปตามทางเดิน ผ่านโต๊ะแล้วโต๊ะเล่า ทุกโต๊ะเต็มหมด มีที่นั่งว่างเพียงไม่กี่แห่ง และที่ว่างนั้นก็ดูไม่ค่อยน่านั่ง เพราะมันอยู่ติดกับกลุ่มเด็กขนาดใหญ่
ในที่สุดเธอก็ได้นั่งที่โต๊ะว่างทางด้านหลัง มีเด็กนั่งอยู่อีกฝั่งเพียงคนเดียว เด็กผู้ชายชาวจีนดูขี้โรค ตัวเตี้ย สวมกำไลข้อมือ แต่งตัวมอมแมม ซึ่งกำลังก้มหน้าและสนใจแต่อาหารของเขา
เธอรู้สึกโดดเดี่ยว เธอก้มลงและมองดูโทรศัพท์มือถือของเธอ มีข้อความในเฟซบุ๊กไม่กี่ข้อความจากเพื่อนของเธอที่อยู่ในเมืองก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องการรู้ว่าเธอชอบเมืองใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกว่าไม่อยากตอบกลับ เพราะไม่ค่อยสนิทกับพวกเขา
เคทลินทานอาหารอย่างกล้ำกลืน ความรู้สึกชวนคลื่นไส้ในวันแรกยังคงเกิดขึ้นกับเธอ เธอพยายามคิดเรื่องอื่น เธอหลับตาลง นึกถึงอพาร์ทเมนท์ใหม่ของเธอ ห้องพักบนชั้นห้าในตึกสกปรกที่อยู่บนถนนหมายเลข 132 นั่นยิ่งทำให้อาการคลื่นไส้ของเธอแย่เข้าไปอีก เธอหายใจลึก ๆ ภาวนาให้ตัวเองมีสมาธิกับบางอย่าง เรื่องราวดี ๆ ในชีวิตของเธอ
น้องชายคนเล็กของเธอ ชื่อแซม อายุ 14 ปี แต่ทำตัวเหมือนคนอายุ 20 แซมไม่คิดว่าเขาคือน้องชายคนเล็ก เขามักจะทำตัวเป็นพี่ชายคนโต เขาเติบโตขึ้นอย่างยากลำบากและไม่สนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัว ตั้งแต่การจากไปของพ่อและการเลี้ยงดูของแม่ เธอเห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกับเขา เขาเริ่มปิดกั้นตัวเอง เรื่องทะเลาะวิวาทรายวันที่โรงเรียนของเขาไม่ได้ทำให้เธอประหลาดใจ เธอเพียงแต่กลัวว่ามันจะแย่ไปกว่านี้
แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเคทลิน แซมรักเธอมาก และเธอก็รักเขาเช่นกัน เขาคือที่ยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวในชีวิตของเธอ คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ ดูเหมือนเขาจะยังคงเก็บความอ่อนโยนในโลกนี้ไว้สำหรับเธอ เธอแน่วแน่ที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องเขา
“เคทลิน?”
เธอสะดุ้ง
เขากำลังยืนมองมาที่เธอ มือข้างหนึ่งถือถาดและอีกข้างหนึ่งถือกระเป๋าไวโอลิน เขาคือโจนาห์
“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าฉันจะขอนั่งด้วย?”
“ไม่ได้ --- ฉันหมายถึงไม่เป็นไรนั่งสิ” เธอกล่าวอย่างลนลาน
ยัยโง่เอ๊ย เธอกำลังคิด หยุดแสดงความประหม่าได้แล้ว
โจนาห์ยิ้มและนั่งลงตรงข้ามเธอ เขานั่งตัวตรงด้วยท่าทางที่สมบูรณ์แบบ และวางไวโอลินไว้ข้างตัวอย่างระมัดระวัง เขาค่อย ๆ วางอาหารของเขาลงบนโต๊ะ มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเขา บางอย่างที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ เขาแตกต่างจากทุกคนที่เธอเคยพบ ดูเหมือนเขามาจากยุคที่แตกต่าง เขาไม่ใช่คนที่นี่อย่างแน่นอน
“วันแรกของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?” เขาถาม
“ไม่ใช่อย่างที่ฉันหวังไว้”
“ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร” เขาตอบกลับ
“นั่นคือไวโอลินหรอ?”
เธอพยักหน้าไปที่เครื่องดนตรีของเขา เขาเก็บมันไว้ใกล้ตัว และวางมือของเขาข้างหนึ่งไว้ด้านบน อย่างกับว่ากลัวใครจะมาขโมยไป
“ที่จริงมันคือไวโอล่า ขนาดใหญ่กว่าไวโอลีน แต่เสียงแตกต่างกันมาก เสียงของมันจะอ่อนหวานกว่า”
เธอไม่เคยเห็นไวโอล่า หวังว่าเขาจะวางมันบนโต๊ะและโชว์ให้เธอดู แต่เขาไม่ทำ และเธอก็ไม่ต้องการสอดรู้สอดเห็น โจนาห์ยังคงวางมือไว้บนไวโอล่า ดูเหมือนเขากำลังปกป้องมัน อย่างกับของส่วนตัวที่เป็นความลับ
“เธอฝึกบ่อยหรอ?”
โจนาห์ยักไหล่ “วันละไม่กี่ชั่วโมง” เขากล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ไม่กี่ชั่วโมง!? เธอต้องเก่งแน่ ๆ เลย!”
เขายักไหล่อีกครั้ง “ฉันคิดว่าพอใช้ได้นะ ยังมีคนอื่นที่เล่นดีกว่าฉัน แต่ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นใบผ่านทางให้ฉันออกจากสถานที่แห่งนี้”
“ฉันอยากเล่นเปียโนมาตลอด” เคทลินพูด
“แล้วทำไมไม่เล่นล่ะ?”
เธอจะพูดว่า ฉันไม่มีเปียโน แต่เธอห้ามตัวเองไว้ เธอยักไหล่แทนและมองกลับไปที่อาหารของเธอ
“เธอไม่จำเป็นต้องมีเปียโน” โจนาห์พูดออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นมอง อย่างกับว่าเขาอ่านใจเธอได้
“โรงเรียนนี้มีห้องซ้อมดนตรี ในบรรดาเรื่องเลวร้ายทั้งหมดของที่นี่ อย่างน้อยก็มีเรื่องดี ๆ แบบนี้อยู่บ้าง พวกเขาจะสอนให้เธอฟรี สิ่งที่เธอต้องทำคือการลงทะเบียน”
เคทลินเบิกตากว้าง
“จริงหรอ?”
“หน้าห้องดนตรีจะมีใบสมัครอยู่ ถามหาคุณนายเลนนอกซ์ บอกไปว่า เธอคือเพื่อนของฉัน”
เพื่อน เคทลินชอบคำนี้ ความสุขค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของเธอ
เธอยิ้มกว้าง ทั้งคู่สบตากันอยู่พักหนึ่ง
การมองไปที่ดวงตาสีเขียวอันเป็นประกายของเขา ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยความปรารถนาที่จะตั้งคำถามนับล้านกับเขา คุณมีแฟนหรือยัง? ทำไมคุณช่างเป็นคนดีอย่างนี้? คุณชอบฉันมั้ย?
แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น เธอกัดลิ้นตัวเองไว้ และนั่งเงียบแทน
เกรงว่าช่วงเวลานี้จะหมดลง เธอเริ่มประมวลผลในสมองเพื่อถามบางอย่างกับเขา เผื่อว่ามันจะยืดระยะเวลาในการสนทนาออกไปได้ เธอพยายามคิดอะไรบางอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะได้พบเขาอีกครั้ง แต่เธอสับสนและตัวแข็งทื่อ
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ เมื่อเธออ้าปากกำลังจะพูด ระฆังก็ดังขึ้นทันที
ภายในห้องอึกทึกไปด้วยเสียงและการเคลื่อนไหว โจนาห์ลุกขึ้นและถือไวโอล่าของเขาไว้ในมือ
“ฉันสายแล้ว” เขาพูด พร้อมเก็บถาดอาหารของเขา
เขามองไปที่ถาดอาหารของเธอ “ฉันเอาถาดของเธอไปด้วยนะ?”
เธอมองลงมา และตระหนักได้ว่าเธอลืมมันไปแล้ว เธอส่ายหน้า
“ตกลง” เขาพูด
เขายืนอยู่ตรงนั้น อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเขินอาย ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
“โอเค... งั้นไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“แล้วเจอกัน” เธอตอบอย่างแผ่วเบา เสียงของเธอดังกว่าเสียงกระซิบเล็กน้อย
*
วันแรกในโรงเรียนของเธอสิ้นสุดลง เคทลินเดินออกจากอาคารสู่แสงอาทิตย์ภายนอก ยามบ่ายของเดือนมีนาคม แม้ว่าจะมีลมแรงพัดผ่านมา แต่เธอก็ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป เด็ก ๆ รอบตัวเธอที่กำลังส่งเสียงดังเอะอะ เธอไม่ได้ใส่ใจกับเสียงที่น่ารำคาญนั่นอีกแล้ว เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาและอิสระ ส่วนที่เหลือของวันผ่านไปแบบเลือนลาง เธอจำไม่ได้แม้แต่ชื่อครูคนใหม่ของเธอ
เธอไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับโจนาห์ได้
เธอสงสัยว่าที่โรงอาหาร เธอทำตัวเหมือนคนงี่เง่ารึเปล่า เธอกลืนคำพูดของเธอ เธอเกือบจะถามเขาทุกคำถาม ทั้งหมดที่เธอคิดได้ตอนนั้นคือคำถามเกี่ยวกับไวโอล่าโง่ ๆ นั่น เธอควรจะถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เขามาจากที่ไหน เขาจะสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหน
เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าหากเขามีแฟนแล้วล่ะ คนอย่างเขาต้องคบกับใครสักคนอยู่แน่นอน
ในขณะนั้นเอง เด็กผู้หญิงเชื้อสายสเปนและโปรตุเกสที่แต่งตัวดีน่ารักเดินผ่านไป เคทลินมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า และสงสัยอยู่ชั่วครู่ว่าถ้านั่นเป็นเธอล่ะ
เคทลินเดินไปยังถนนหมายเลข 134 ลืมว่าเธอกำลังไปไหน เธอไม่เคยเดินจากโรงเรียนกลับบ้านมาก่อน ตอนนี้เธอมืดแปดด้านว่าอพาร์ทเมนท์ใหม่ของเธออยู่ที่ไหน เธอยืนอยู่ที่นั่นตรงหัวมุม งุนงง เมฆเริ่มลอยมาปกคลุมพระอาทิตย์ ลมแรงเริ่มก่อตัว และเธอก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้ สาวน้อย!”
เคทลินหันกลับไป และพบว่าเธอกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายของชำที่ดูซอมซ่อ ผู้ชายแต่งตัวโกโรโกโสสี่คนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังยิ้มแสยะอย่างเยือกเย็นมาที่เธอ ราวกับว่าเธอเป็นมื้ออาหารถัดไปของพวกเขา
“มานี่สิจ๊ะ ที่รัก!” ชายคนหนึ่งตะโกน
และเธอก็จำได้
ใช่แล้ว ถนนหมายเลข 132
เธอหันหลังกลับทันทีและเดินอย่างรวดเร็วไปยังถนนอีกฝั่ง เธอหันหลังไปมองเป็นระยะว่าผู้ชายเหล่านั้นตามเธอมาหรือไม่ โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ตามมา
ลมหนาวที่ผัดผ่านแก้มของเธอ กระตุ้นให้เธอมีสติ ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับที่พักของเธอเริ่มถาโถมเข้ามา เธอมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้เต็มไปด้วยรถที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ กำแพงลายกราฟฟิตี้ ลวดหนาม เหล็กดัดที่ติดอยู่บนหน้าต่างทุกบาน เธอเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวในทันที และหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
อีกเพียง 3 ช่วงตึกก็จะถึงอพาร์ทเมนท์ของเธอ แต่ดูเหมือนมันยาวนานเหลือเกิน เธอหวังว่าเธอจะมีเพื่อนเดินเคียงข้าง หากเป็นโจนาห์ก็คงจะดี เธอกำลังสงสัยว่าเธอจะสามารถเดินคนเดียวแบบนี้ได้ทุกวันหรือไม่ เธอเริ่มรู้สึกโกรธแม่ของเธอ ทำไมต้องย้ายที่อยู่ให้เธอ ผลักไสให้เธอไปที่ใหม่ที่เธอไม่ชอบได้อย่างไร? เมื่อไรมันจะจบ?
เสียงแก้วแตกดังขึ้น
หัวใจของเคทลินเต้นรัว เมื่อเธอมองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างด้านซ้าย อีกฝั่งของถนน เธอเดินอย่างรวดเร็วและพยายามก้อตัวให้ต่ำลง แต่เมื่อเธอยิ่งเข้าใกล้ เธอได้ยินเสียงตะโกนและเสียงหัวเราะแปลก ๆ และทำให้เธอเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
เด็กผู้ชายร่างใหญ่ 4 คน น่าจะอายุ 18 หรือ 19 ปี ยืนอยู่เหนือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยมีเด็กสองคนกำลังตรึงแขนของเขาเอาไว้ และคนที่สามชกเข้าไปที่ท้องของเขา เด็กคนที่สี่เดินเข้าไปและชกที่ใบหน้า เด็กที่โดนทำร้ายน่าจะอายุประมาณ 17 ปี รูปร่างสูง ผอม และไร้ซึ่งทักษะป้องกันตัว เขาล้มลงกับพื้น เด็กผู้ชายสองคนตรงเข้าไป และเตะใบหน้าของเขา
เคทลินหยุดเดินและมองดู เธอรู้สึกหวาดกลัว เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
เด็กอีกสองคนเดินไปรอบ ๆ เหยื่อ พวกเขายกเท้าขึ้นสูงและกระทืบลงมา
เคทลินกลัวว่าพวกเขาจะเตะเด็กคนนั้นจนเสียชีวิต
“อย่า!” เธอร้องออกมา
เสียงบดละเอียดที่น่ากลัวดังขึ้นบนสิ่งที่พวกเขาวางเท้าลงไป
แต่มันไม่เหมือนกับเสียงกระดูกหัก คล้ายเสียงของไม้ ไม้ที่ถูกบดละเอียด เคทลินมองเห็นว่าเด็กพวกนั้นกำลังย่ำเท้าลงบนเครื่องดนตรีขนาดเล็ก เธอมองเข้าไปใกล้ ๆ และเห็นเศษชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของไวโอล่ากระจายอยู่ทั่วทางเดิน
เธอยกมือขึ้นป้องปากด้วยความตกใจ
“โจนาห์!?”
เคทลินข้ามถนนอย่างไม่ต้องคิด ตรงไปยังกลุ่มเด็กผู้ชายที่เริ่มจะสังเกตเห็นเธอ พวกเขามองมาที่เธอ รอยยิ้มอันชั่วร้ายปริออกในมาขณะที่พวกเขาใช้ศอกสะกิดเพื่อน
เธอเดินเข้าไปยังเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและเห็นว่าเขาคือโจนาห์จริง ๆ ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด มีแต่แผลฟกช้ำ และเขาไม่ได้สติ
เธอมองกลับมาที่กลุ่มเด็กพวกนั้น ความโกรธของเธอเอาชนะความหวาดกลัว เธอยืนอยู่ระหว่างโจนาห์และพวกเขา
“อย่ามายุ่งกับเขา!” เธอตะโกนใส่กลุ่มเด็ก
เด็กที่ยืนอยู่ตรงกลาง สูงอย่างน้อย 6 ฟุต 4 นิ้ว ร่างกายกำยำ หัวเราะกลับมา
“ถ้าไม่ล่ะ?” เขาถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่กวนประสาท
เคทลินรู้สึกเหมือนโลกกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ และรู้ตัวอีกทีเมื่อถูกผลักอย่างแรงจากด้านหลัง เธอยกศอกขึ้นเมื่อล้มลงกระแทกคอนกรีต แต่มันแทบจะไม่ช่วยบรรเทาแรงกระแทก สายตาของเธอมองไปยังสมุดบันทึกที่กระเด็นออกมา กระดาษกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่
เธอได้ยินเสียงหัวเราะ และเสียงฝีเท้านั้นกำลังมุ่งมาที่เธอ
หัวใจของเธอเต้นรัว อะดรีนารีนสูบฉีด เธอกลิ้งตัวและชิงจังหวะยืนขึ้นก่อนที่พวกเขาจะถึงตัวเธอ เธอออกตัววิ่งไปยังตรอก วิ่งโดยไม่คิดชีวิต
พวกมันตามหลังมาติด ๆ
หนึ่งในโรงเรียนหลาย ๆ แห่งของเธอ เคทลินเคยคิดว่าเธอจะมีอนาคตอันยาวไกลที่ไหนสักแห่ง เธอเลือกที่จะวิ่ง และเธอตระหนักได้ว่าเธอเก่งด้านนี้ เก่งที่สุดในทีม มันไม่ใช่การวิ่งระยะไกล แต่มันคือการวิ่งแข่งในระยะ 100 หลา เธอสามารถวิ่งเร็วกว่าพวกผู้ชาย และตอนนี้ การวิ่งก็ผุดเข้ามาในหัวของเธอ
เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต และพวกผู้ชายก็จะไม่สามารถจับเธอได้
เคทลินชำเลืองมองกลับไปเพื่อดูว่าพวกมันอยู่ไกลแค่ไหนแล้ว เธอรู้ดีว่าเธอสามารถหนีพวกนั้นได้ เพียงแต่เธอต้องเลี้ยวไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง
ตรอกนี้สิ้นสุดที่สามแยก เธอสามารถเลี้ยวไปได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา เธอไม่มีเวลาพอที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ ถ้าเธอต้องการรักษาระยะห่างของเธอเอาไว้ เธอต้องเลือกอย่างรวดเร็ว เธอไม่ทันมองสิ่งที่ยู่ตรงหัวมุม แล้วเธอก็ตัดสินใจเลี้ยวซ้าย
เธอภาวนาขอให้มันเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง เถอะน่า ได้โปรด!
หัวใจของเธอเกือบหยุดเต้นเมื่อเธอเลี้ยวซ้ายและพบว่าข้างหน้านั้นเป็นทางตัน
เธอเลือกทางผิด
นี่มันทางตัน เธอพยายามมองรอบกำแพง มองหาทางออก ทางออกอะไรก็ได้ แต่ก็ไม่มีเลย เธอหันกลับมา เพื่อเผชิญหน้ากับพวกที่จะมาทำร้ายเธอ
เธอหมดแรง เธอมองพวกมันเลี้ยวผ่านหัวมุมและใกล้เข้ามา เธอมองเห็นผ่านไหล่ของพวกมันไปยังฝั่งตรงข้าม ถ้าเธอเลี้ยวขวา ป่านนี้เธอคงจะถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว คงเป็นเช่นนั้นหากโชคเข้าข้างเธอ
“เอาล่ะ นังตัวดี” หนึ่งในพวกเขาพูด “แกจะต้องเจ็บตัวแน่”
เมื่อรู้ว่าเธอไม่มีทางออก พวกมันเดินตรงมาที่เธอช้า ๆ อย่างฮึกเหิม ยิ้มเยาะ และเริงร่ากับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น
เคทลินหลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอพยายามจินตนาการว่าโจนาห์จะฟื้นขึ้นมาอย่างทรงพลัง ปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุม และพร้อมที่จะช่วยเหลือเธอ แต่เมื่อเธอลืมตา เธอพบว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น มีเพียงผู้ที่จะทำร้ายเธอ ซึ่งกำลังใกล้เข้ามา
เธอคิดถึงแม่ของเธอ เธอนึกถึงความเกลียดที่มีต่อแม่ สถานที่ทุกแห่งที่เธอถูกบังคับให้อาศัยอยู่ เธอคิดถึงแซม น้องชายของเธอ เธอคิดว่าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรหลังจากวันนี้
เธอทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตของเธอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมไม่มีใครเข้าใจเธอ ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เธอต้องการ มีบางอย่างมาสะกิดใจเธอว่าที่ผ่านมาเธอได้รับมันมากเกินไปแล้ว
ฉันไม่ควรได้รับสิ่งนี้ ฉันไม่ควรได้รับสิ่งนี้!
ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกถึงบางอย่าง
บางอย่างที่เหมือนคลื่น เธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต มันคือคลื่นแห่งความเกรี้ยวกราดที่กำลังถาโถมเข้ามาสู่ตัวเธอ สูบฉีดเลือดของเธอ รวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ท้องของเธอ และกระจายออกไป เธอสามารถรับรู้ถึงฝีเท้าของเธอที่หยั่งลงบนพื้น ราวกับว่าเธอและคอนกรีตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นรู้สึกความแข็งแรงแบบป่าเถื่อนได้เข้าครอบงำเธอ แผ่ไปตามข้อมือ ผ่านแขน และตรงไปยังหัวไหล่ของเธอ
เคทลินปล่อยเสียงคำรามที่น่ากลัวออกมา แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้น เด็กคนแรกเดินเข้ามาและใช้มืออ้วน ๆ ของเขาจับที่ข้อมือของเธอ เธอมองดูมือของเธอตอบสนองด้วยตัวของมันเอง มือของเธอจับไปที่ข้อมือของผู้ที่จะมาทำร้ายเธอและบิดกลับไปด้านหลังด้วยองศาที่ถูกต้อง สีหน้าของเด็กคนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความตกใจ ข้อมือและแขนของเขาถูกหักออกเป็นสองท่อน
เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วกรีดร้อง
ดวงตาของเด็กอีกสามคนเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
เด็กที่ตัวโตที่สุดในบรรดาสามคนนั้นพุ่งตรงมาที่เธอ
“แก ไอ้----”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เธอกระโดดขึ้นไปในอากาศและวางเท้าทั้งสองของเธออย่างพอดีลงบนหน้าอกของเขา ทำให้เขาลอยกระเด็นไปประมาณสิบฟุตและชนเข้ากับถังขยะโลหะ
เขานอนแน่นิ่ง ไม่ขยับ
เด็กอีกสองคนมองหน้ากัน รู้สึกตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เคทลินก้าวไปข้างหน้า รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ใช่มนุษย์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธอ เธอได้ยินเสียงตัวเองคำรามออกมาในขณะที่กำลังจับเด็กสองคนที่เหลือ (แต่ละคนมีขนาดตัวใหญ่กว่าเธอสองเท่า) แล้วยกแต่ละคนลอยขึ้นเหนือพื้นหลายฟุตด้วยมือเพียงข้างเดียว
พวกเขาถูกแขวนลอยอยู่กลางอากาศ เธอเหวี่ยงพวกเขาไปมา และเหวี่ยงมาชนกันด้วยแรงที่เหลือเชื่อ เด็กทั้งคู่สลบลงบนพื้น
เคทลินยืนอยู่ที่นั่น สูดลมหายใจ ครุกรุ่นด้วยความเกรี้ยวกราด
ตอนนี้เด็กผู้ชายทั้งสี่คนไม่เคลื่อนไหว
เธอไม่รู้สึกโล่งใจ ตรงกันข้าม เธอกลับต้องการมากกว่านี้ เธอต้องการต่อสู้ และต้องการโยนร่างของพวกเขาอีก
นอกจากนี้เธอยังต้องการบางสิ่งบางอย่าง
ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเธอก็สามารถมองเห็นภาพได้ทะลุปรุโปร่ง เธอมองเข้าไปยังคอของพวกเขา เธอสามารถมองลึกลงไป เธอมองเห็นได้จากจุดที่เธอยืนอยู่ เส้นเลือดเหล่านั้นกำลังสูบฉีด เธอปรารถนาที่จะกัดมันเพื่อดื่ม
เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอเงยหน้าขึ้นและปล่อยเสียงร้องที่น่าประหลาด สะท้อนไปทั่วตึกและตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ มันคือเสียงร้องแห่งชัยชนะของสัตว์ป่า และความเกรี้ยวกราดที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
มันคือเสียงกรีดร้องของสัตว์ที่ยังคงกระหาย
บทที่สอง
เคทลินยืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์ใหม่ของเธอ จ้องมองไปที่ประตู และรับรู้ได้ทันทีว่าเธออยู่ที่ไหน เธอไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ได้อย่างไร สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธออยู่ในตรอกนั้น จะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่างน้อยเธอก็สามารถพาตัวเองกลับมาบ้านได้
เธอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในตรอกได้ทุกวินาที เธอพยายามลบมันออกจากหัวของเธอ แต่ไม่สามารถทำได้ เธอมองลงมาที่แขนและมือของเธอ คิดว่าจะเห็นมันแตกต่างจากที่เคย แต่มันดูปกติ อย่างที่ควรจะเป็น ความโกรธเกรี้ยวครอบงำเธอ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเธอ แล้วมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นคงอยู่ เธอรู้สึกโหวงเหวง มึนงง และยังมีอีกความรู้สึกที่เธอเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร ภาพนั้นลอยเข้ามาในจิตใจของเธอ ภาพที่เผยให้เห็นต้นคอของคนที่มารังแกเธอ ภาพชีพจรของพวกเขา และเธอรู้สึกหิวกระหาย เกิดความปรารถนาอย่างรุนแรง
เคทลินไม่อยากกลับบ้าน เธอไม่อยากเจอแม่ของเธอ โดยเฉพาะวันนี้ เธอไม่ต้องรับมือกับบ้านใหม่ การจัดข้าวของ ถ้าไม่ใช่เพราะแซมอยู่ที่นั่น เธออาจจะหันหลังกลับและเดินจากไป แม้ไม่รู้ว่าจะที่ไหน แต่อย่างน้อยเธอก็อยากเดินออกไป
เธอหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยออกมา วางมือของเธอบนลูกบิด ไม่รู้ว่าลูกบิดนั้นอุ่นหรือมือของเธอเย็นราวกับน้ำแข็ง
เคทลินเข้ามาในอพาร์ทเมนท์ที่ดูสว่างเกินไป เธอได้กลิ่นอาหารจากเตาอบ หรืออาจจะเป็นไมโครเวฟ แซมมักกลับมาบ้านก่อนเธอเสมอและทำอาหารเย็นด้วยตัวเขาเอง แม่ของเธอจะไม่อยู่ที่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง
“ดูเหมือนวันแรกจะไม่ค่อยดี”
เคทลินหันกลับมา และตกใจกับเสียงของแม่ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้ กำลังสูบบุหรี่ และมองเธอด้วยสายตารังเกียจ
“อะไรกัน นี่แกทำเสื้อกันหนาวขาดแล้วหรอ?”
เคทลินมองลงมาและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคราบสกปรกติดอยู่ อาจเกิดขึ้นตอนชนกับซีเมนต์
“ทำไมแม่กลับบ้านเร็ว?” เคทลินถาม
“วันแรกของฉันเหมือนกัน แกรู้มั้ย” เธอตะคอกออกมา “ไม่ใช่แกคนเดียว ที่ทำงานมีงานน้อย หัวหน้าเลยให้ฉันกลับบ้านเร็ว”
เคทลินไม่สามารถทนต่อน้ำเสียงที่น่ารังเกียจของแม่ แม่ของเธอมักหยาบคายกับเธอเสมอ และคืนนี้ เคทลินไม่อยากทน เธอตัดสินใจที่จะให้แม่เธอลิ้มรสยาของเธอบ้าง
“เยี่ยม” เคทลินตะโกนกลับมา “นี่หมายความว่าเราต้องย้ายบ้านอีกแล้วใช่มั้ย?”
แม่ของเธอลุกขึ้นยืนทันที “นี่แก ระวังปากของแกหน่อยนะ!” เธอกรีดร้องออกมา
เคทลินรู้ว่าแม่ของเธอกำลังรอที่จะหาข้ออ้างด่าทอเธอ เธอคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหลอกล่อเธอและปล่อยให้เธอทำอย่างที่ต้องการ
“แม่ไม่ควรสูบบุหรี่ใกล้ ๆ แซม” เคทลินตอบอย่างเย็นชา แล้วเดินเข้าห้องนอนเล็ก ๆ ของเธอ ปิดประตูเสียงดังและล็อกมัน
ทันใดนั้นเอง แม่ของเธอทุบประตู
“แกออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กบ้า! นั่นคือวิธีที่แกพูดกับแม่ของตัวเองหรอ!? ใครเป็นคนวางขนมปังบนโต๊ะของแก...”
คืนนี้ เคทลินรู้สึกว้าวุ่นใจ แทนที่จะรู้สึกโมโหกับน้ำเสียงของแม่ เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ เสียงหัวเราะของเด็กพวกนั้น เสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่ดังอยู่ในหูของเธอ และเสียงคำรามของเธอ